ตลาดหุ้นยังคงปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงสัปดาห์ที่แล้วจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ พร้อมที่จะ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อแก้ไขสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
หลักฐานที่ยืนยันว่าเศรษฐกิจกำลังถดถอยนั้นมาจากตัวเลข ยอดขายปลีก ซึ่งเป็นตัวชี้วัดกำลังซื้อภายในห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร รวมทั้งการซื้อขายออนไลน์ในเดือนพฤษภาคมปรากฎออกมาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยรายงานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ฉบับล่าสุดนี้เป็นรายงานที่ประกาศออกมาก่อนที่จะมี การประชุม คณะกรรมการของธนาคารกลางในสัปดาห์นี้ ประกอบกับวิกฤติที่ทวีความรุนแรงในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางหลังจากที่มีการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันใกล้กับประเทศอิหร่านทำให้ หุ้นธุรกิจด้านพลังงาน ปรับตัวสูงขึ้น
นอกเหนือไปจากปัจจัยในภาพรวมดังกล่าวแล้ว สัปดาห์นี้ยังมีกิจกรรมหลายอย่างที่อาจส่งผลกระทบกับราคาหุ้นของบริษัทใหญ่บางรายได้ โดยมี 3 บริษัทที่น่าจับตามองดังนี้
1. Canopy Growth
ในช่วงที่ตลาดตกต่ำที่สุดในเดือนธันวาคม บริษัท Canopy Growth ซึ่งเป็นผู้ผลิตกัญชารายใหญ่ที่สุดของโลก (NYSE:CGC) กลับมีมูลค่าหุ้นมากขึ้นถึงเกือบ 2 เท่า เนื่องจากบริษัทมีการขยายกำลังการผลิต รวมทั้งสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และเข้าสู่ตลาดกัญชาทั้งในเชิงสันทนาการและทางการแพทย์
โดยนักลงทุนจะได้ทราบข้อมูลของบริษัทเพิ่มเติมจาก ผลประกอบการ ประจำปี 2019 ซึ่งเป็นข้อมูลในไตรมาสที่ 4 ที่จะประกาศออกมาให้ทราบในวันที่ 20 มิถุนายนนี้ นักวิเคราะห์คาดว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทจะปรับลดลง $0.19 โดยมียอดขายอยู่ที่ 67.74 ล้านเหรียญ
ราคาหุ้นของบริษัทในเมืองสมิธส์ฟอลส์ รัฐออนตาริโอแห่งนี้ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ระดับ $41.18 ถือเป็นบริษัทผู้ผลิตกัญชาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อพิจารณาจากมูลค่าทางตลาด ซึ่งปัจจุบันมีส่วนแบ่งในตลาดการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการอยู่ที่ 30% และยังเป็นธุรกิจที่หนุนหลังบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่า Constellation Brands (NYSE:STZ) โดยในเดือนสิงหาคมบริษัทถือหุ้นอยู่จำนวน 40% จึงทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งในการเติบโตอย่างมั่นคง
Canopy รายงานผลกำไรสุทธิหลังปรับมูลค่าของบริษัทประจำไตรมาสที่สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคมอยู่ที่ 22% เนื่องจากมีการลงทุนในการก่อสร้างโรงงานใหม่ รวมทั้งเตรียมการสำหรับผลิตภัณฑ์ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ยังไม่สามารถเปิดจำหน่ายได้จนกว่าจะถึงปลายปีนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถทำกำไรสุทธิก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) ได้ภายใน 18 เดือนหลังจากนี้
2. Adobe
หุ้นอีกตัวหนึ่งที่น่าจะสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนในสัปดาห์นี้ได้ก็คือหุ้นของ Adobe (NASDAQ:ADBE) บริษัทผู้ผลิตโปรแกรม Photoshop จะประกาศผลประกอบการประจำ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 หลังปิดตลาดในวันอังคารที่ 18 มิถุนายนนี้
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าหุ้นของบริษัทจะปรับขึ้น $1.78 โดยมียอดขายอยู่ที่ 2,700 ล้านเหรียญ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บริษัท Adobe ทำให้นักวิเคราะห์ผิดหวังเมื่อมีการประกาศผลกำไรออกมาต่ำกว่าที่ Wall Street คาดการณ์ไว้
Adobe ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งของ Salesforce.com (NYSE:CRM) ในธุรกิจการตลาดและการค้าแบบอีคอมเมิร์ซกำลังพยายามขยายการเติบโตทางธุรกิจไปพร้อมๆ กับการสร้างความเข้มแข็งในธุรกิจหลักของตนเองซึ่งก็คือธุรกิจทางด้านซอฟต์แวร์เชิงสร้างสรรค์ บริษัทในเมืองซานโฮเซ่ รัฐแคลิฟอร์เนียแห่งนี้มีชื่อเสียงขึ้นมาจากผลิตภัณฑ์อย่าง Acrobat ซึ่งเป็นการริเริ่มสร้างไฟล์ในรูปแบบ PDF ขึ้นจนมาเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในทุกวันนี้ แต่ปัจจุบันเริ่มหันไปให้บริการกับลูกค้าเพื่อสมัครใช้ในระบบคลาวด์แทนแล้ว
บริษัทผู้ผลิตซอฟต์แวร์รายนี้คาดว่าจะมียอดขายในตลาดดิจิทัล ทั้งในด้านการตลาด เทคโนโลยี รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับข้อมูลและการวิเคราะห์เพิ่มขึ้น 25% โดยราคาหุ้นของ Adobe ปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งในปีนี้ถึงกว่า 21% โดยไปปิดตลาดอยู่ที่ระดับ $274.28 เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
3. General Electric
กลุ่มบริษัทที่ยังคงมีปัญหาแห่งหนึ่งของอเมริกานั่นก็คือ General Electric (NYSE:GE) กำลังจะจัดวันนักลงทุนของ GE Aviation & GECAS ขึ้นในวันอังคารนี้ เพื่อเป็นการตอกย้ำว่าแผนการปรับโครงสร้างครั้งใหม่ของบริษัทซึ่งนำโดยประธานกรรมการบริหารคนใหม่นั่นก็คือ นายแลรี คัลพ์ กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ราคาหุ้นของ GE ปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ $10.23 ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% หลังจากที่ได้ปรับตัวลดลงถึง 66% ในช่วงปลายเดือนธันวาคม
นักลงทุนต่างก็อยากทราบว่า GE จะมีแผนการในการสร้างกระแสเงินสดอย่างไรต่อไป ซึ่งนายคัลพ์เคยออกมาเปิดเผยว่าบริษัท GE อาจต้องมีการใช้เงินมากถึง 2,000 ล้านเหรียญในปี 2019 และบริษัทกำลังพยายามปรับปรุงกระแสเงินสดและงบดุลให้ดีขึ้นหลังจากที่ปริมาณความต้องการซื้อกังหันแก๊สและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัทลดน้อยลง
ปริมาณความต้องการซื้อที่ลดน้อยลงนี้ถือเป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุดของบริษัทในรอบ 120 ปี การแถลงข่าวที่จะมีขึ้นในวันอังคารนี้จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงสถานการณ์ธุรกิจการบินของ GE ที่กำลังประสบปัญหาหลังจากที่มีเหตุให้ต้องระงับการใช้เครื่องยนต์เจ็ตแบบ 737 MAX ทำให้บริษัท GE ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ประเภทนี้ให้กับบริษัท Boeing MAX (NYSE:BA) กำลังจะต้องเผชิญกับ “ความเสี่ยงใหม่” อีกครั้ง