จากตัวเลขการคาดการณ์กำลังซื้อล่าสุดของบริษัท Broadcom (NASDAQ:AVGO) ซึ่งมีจำนวนน้อยลงนั้นทำให้นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจกับสถานการณ์ของบริษัทผู้ผลิตชิปรายนี้ การที่บริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีฐานลูกค้าอยู่ทั่วโลกนั้น ย่อมทำให้ ผลประกอบการ ของบริษัทผู้ผลิตชิปแห่งนี้เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการกำหนดทิศทางของบริษัท ซึ่งรายงานที่ออกมาก็ไม่สู้ดีนัก
หลังจากปิดตลาดไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา บริษัทที่ตั้งอยู่ในเมืองซานโฮเซ รัฐแคลิฟอร์เนียแห่งนี้ไม่เพียงแต่ปรับลดตัวเลขการคาดการณ์กำลังซื้อประจำปีลงเท่านั้น แต่ยังออกมาเตือนด้วยว่าข้อพิพาทในสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนนั้นจะส่งผลกระทบให้เกิด “การชะลอตัวที่รุนแรงและรวดเร็ว” ของกำลังซื้อจากลูกค้า ซึ่งรวมถึงบริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่ที่สุดอย่าง Apple (NASDAQ:AAPL) รวมทั้งหัวเหว่ยซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมจากจีนอีกด้วย
บริษัท Broadcom ยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ด้านเครือข่ายชั้นนำให้แก่ผู้ให้บริการข้อมูลยักษ์ใหญ่อย่าง Google (NASDAQ:GOOGL) ของกลุ่ม Alphabet และบริการข้อมูลในระบบคลาวด์ของ Amazon.com (NASDAQ:AMZN) หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศแบนการส่งออกไปยังหัวเหว่ย Broadcom น่าจะมียอดขายลดลงถึง 2,000 ล้านเหรียญซึ่งสูงกว่าจำนวนที่คาดเอาไว้มาก
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า นายฮอค แทน ประธานฝ่ายบริหารของบริษัทกล่าวในการประชุมว่า “เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าความขัดแย้งในข้อตกลงทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ รวมทั้งการแบนบริษัทหัวเหว่ยทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองและยังทำให้การคาดการณ์ทำได้ยาก” นอกจากนี้เขายังเสริมด้วยว่า “ลูกค้าของเราเริ่มลดปริมาณสินค้าคงคลังลงเรื่อยๆ”
บริษัท Broadcom เปิดเผยว่าตัวเลขการคาดการณ์รายได้ที่ลดลงนั้นใช้วิธีพิจารณาแบบ “อนุรักษ์นิยม” และเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดอันดับต้นๆ ที่จะใช้ประเมินผลกระทบจากสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าจะต้องส่งผลกระทบกับราคาหุ้นของบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
กำลังซื้อของลูกค้ายังคงลดลง
ราคาหุ้นของบริษัท Broadcom ร่วงลงไปถึง 9% ในวันศุกร์ที่ผ่านมา ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ โดยปิดตลาดลดลง 5.6% ไปอยู่ที่ระดับ $265.93 โดยในปีนี้ราคาหุ้นของบริษัทปรับตัวขึ้นเพียง 5% หรือคิดเป็น 18% ใน ดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ของฟิลาเดลเฟีย ซึ่งเป็นดัชนีเฉพาะของอุตสาหกรรมนี้
จากรายงานผลประกอบการล่าสุดของบริษัท ประกอบกับผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ผลิตชิปชั้นนำที่ยังคงไม่สู้ดีแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมนี้กำลังเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลง เนื่องจากบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์มีฐานลูกค้าหลักอยู่ในประเทศจีน โดยหากมีการใช้จ่ายทางด้านเกมและปัญญาประดิษฐ์มากขึ้นก็จะทำให้มีความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย การที่สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังชะลอตัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนอาจทำให้ความต้องการซื้อในปีนี้ลดน้อยลงไปอีก
จากตัวเลขการคาดการณ์ล่าสุดของบริษัท Broadcom ยังแสดงให้เห็นว่าปัญหาทางด้านสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนไม่ใช่สาเหตุหลักเพียงอย่างเดียวที่ทำให้มีความต้องการลดลง สภาวะการชะลอตัวทางด้านความต้องการซื้ออาจขยายวงกว้างขึ้นได้มากกว่านั้น บริษัทยังเผยด้วยว่าบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์อื่นๆ ต่างชะลอการสั่งซื้อก่อนหน้าที่บริษัทหัวเหว่ยจะถูกแบนด้วยซ้ำ ยอดขายที่ลดลงถึง 2,000 ล้านเหรียญจึงเป็นการตอกย้ำว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการชะลอตัวที่รุนแรงมากขึ้นไปกว่านี้ได้อีก
บทสรุป
จากข้อมูลในรายงานผลประกอบการของบริษัทผู้ผลิตชิปยักษ์ใหญ่รายนี้ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าในขณะนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้นบริษัทในกลุ่มผู้ผลิตชิป หุ้นกลุ่มนี้ยังคงไร้เรี่ยวแรงที่จะฟื้นตัวได้ในปีนี้และเรายังเห็นว่าการปรับตัวของราคาที่เพิ่มขึ้นนี้จะหายไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากผู้เล่นหลักรายอื่นๆ ก็เริ่มปรับลดตัวเลขรายได้ที่คาดการณ์ลงตาม Broadcom ด้วยแล้วเช่นกัน การที่อุตสาหกรรมผู้ผลิตชิปจะฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นนักลงทุนจึงควรติดตามดูสถานการณ์ต่อไปก่อน