รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

3 หุ้นสหรัฐฯ ที่ควรจับตามองสัปดาห์นี้: Tesla, Facebook, AT&T

โดยInvesting.com
ผู้เขียนHaris Anwar
เผยแพร่ 21/07/2562 16:51
อัพเดท 02/09/2563 13:05

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังจะได้รับการทดสอบความยืดหยุ่นครั้งใหญ่อีกครั้งเมื่อบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกกำลังจะประกาศผลประกอบการไตรมาสที่สองออกมาในสัปดาห์นี้

สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 และดัชนี Nasdaq คอมโพสิต ปรับตัวลงต่ำเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมาเนื่องจากนักลงทุนยังได้รับข่าวร้ายจากผลประกอบการที่ยังดูย่ำแย่ของหลายบริษัท รวมทั้งสงครามทางการค้ากับจีนที่ยังยืดเยื้อ และทิศทางที่ยังไม่แน่นอนในการปรับลด อัตราดอกเบี้ย ของเฟด

บริษัท FactSet คาดการณ์ว่าผลงานของดัชนี S&P 500 ในไตรมาสที่สองจะลดลง 2.9% อันเป็นผลมาจากข้อมูลผลประกอบการประจำไตรมาสของทั้ง 114 บริษัท ซึ่งงานวิจัยของ FactSet คาดว่า 77% ของบริษัททั้งหมดน่าจะมีตัวเลขยอดขายที่ลดลง

สำหรับในสัปดาห์นี้ หุ้น 3 ตัวต่อไปนี้น่าจะช่วยชี้ให้นักลงทุนเห็นว่าหุ้นในกลุ่มอื่นๆ ได้ว่าจะมีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร

1. Tesla

บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla (NASDAQ:TSLA) จะรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่สองออกมาช่วงหลังปิดตลาดในวันพุธที่จะถึงนี้ ผลการสำรวจตัวเลขที่คาดการณ์ ชี้ว่าบริษัทจะขาดทุน $0.41 ต่อหุ้น โดยมียอดขายอยู่ที่ 6,520 ล้านเหรียญ

Tesla Weekly Chart

อย่างไรก็ตาม ในเดือนนี้นักลงทุนยังได้รับข่าวดีว่าบริษัทสามารถทำลายสถิติยอดส่งมอบรถยนต์สูงสุดได้ โดย Tesla รายงานว่าได้มีการส่งมอบรถไปแล้วในไตรมาสที่สองจำนวน 95,200 คัน จนทำลายสถิติเดิมจำนวน 90,700 คันในไตรมาสที่สี่ของปี 2018 ไปได้

แม้ว่าจะมีข่าวดีเกิดขึ้น แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า เมื่อผลประกอบการในไตรมาสที่สองประกาศออกมา Tesla จะสามารถที่จะกำหนดทิศทางที่จะทำกำไรต่อไปในอนาคตได้หรือไม่ หลังจากที่เคยเป็นหุ้นยอดนิยมของตลาดอยู่นานหลายปี นับจนมาถึงเดือนมิถุนายนปีนี้ ราคาหุ้นของ Tesla ก็ปรับตัวดิ่งลงไปแล้วกว่า 40% อันเนื่องมาจากความต้องการซื้อรถยนต์เกิดการชะลอตัว ทำให้บริษัทตกอยู่ในสถานการณ์ที่ขาดสภาพคล่อง

แต่หุ้นของ Tesla ก็เริ่มที่จะปรับตัวขึ้นได้บ้างแล้วเช่นกัน โดยหลังจากเดือนมิถุนายนเป็นต้นมาก็ปรับตัวขึ้นได้ 46% ด้วยความหวังที่ว่ายอดจำหน่ายรถที่สูงขึ้นจนทำลายสถิติได้นั้นจะทำให้บริษัทสามารถทำกำไรได้มากขึ้นและน่าจะมีเงินสดเพียงพอที่จะดำเนินกิจการต่อไปจนถึงปี 2020 ได้ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นของ Tesla ไปปิดตลาดอยู่ที่ระดับ $258.18

2. Facebook

Facebook (NASDAQ:FB) เป็นหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีอีกตัวหนึ่งที่จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบเมื่อมีการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2 ออกมาในวันพุธที่จะถึงนี้ ผลการสำรวจตัวเลขที่คาดการณ์ สำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสื่อสังคมออนไลน์รายนี้ชี้ว่าบริษัทน่าจะมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.87 โดยมียอดขายอยู่ที่ระดับ 16,500 ล้านเหรียญ

Facebook Weekly Chart

การฟื้นตัวอย่างแข็งแรงของหุ้นในปีนี้เป็นสัญญาณชี้ว่านักโฆษณายังคงชื่นชอบในบริการเครือข่ายสังคมออนไลน์อยู่ แม้ว่าบริษัทกำลังต้องเผชิญกับอุปสรรคครั้งใหญ่อีกครั้งจากการที่มีนักการเมืองและนักกฎหมายออกมาชี้ว่าแพลตฟอร์มดังกล่าวมีการใช้งานผิดวัตถุประสงค์

ตั้งแต่ต้นปี 2019 หุ้นก็บริษัทก็พุ่งสูงขึ้นมาประมาณ 50% จนไปปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ $198.36 การฟื้นตัวกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นในปี 2018 ที่ทำให้หุ้นของบริษัทร่วงลงไปกว่า 25% ในช่วงที่ต้องเผชิญปัญหาสำคัญหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการรั่วไหลของข้อมูล ความกังวลทางด้านความเป็นส่วนตัว รวมทั้งการเข้าแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง

3. AT&T

บริษัท AT&T (NYSE:T) จะรายงาน ผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ออกมาในช่วงก่อนเปิดตลาดวันพุธที่จะถึงนี้เช่นกัน มีการคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.89 โดยมียอดขาย 44,870 ล้านเหรียญ

หากพิจารณาจากกราฟราคาหุ้นของ AT&T จะเห็นได้ชัดเจนว่านักลงทุนไม่ค่อยเชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำกำไรต่อไปในอนาคตได้ โดยราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปประมาณ 10% ในช่วงสองปีที่ผ่านมาโดยมีรูปแบบการซื้อขายที่ค่อนข้างผันผวนสูง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทไปปิดตลาดอยู่ที่ระดับ $32.79 และน่าจะกลับคืนสังเวียนได้อีกครั้งในปีนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่ปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนน่าจะหันมาให้ความสนใจกับหุ้นในกลุ่มสาธารณูปโภคมากขึ้น

AT&T Weekly Chart.

AT&T ได้พยายามปรับตัวให้เป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการการสื่อสารในช่วงที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาใช้บริการเครือข่ายไร้สายมากขึ้น รวมทั้งหันมาสมัครใช้บริการเพื่อความบันเทิงในราคาที่ถูกลงอย่างเช่น Netflix (NASDAQ:NFLX) เพื่อให้บริษัทยังดำเนินธุรกิจในสภาวะการแข่งขันเช่นนี้ต่อไปได้ บริษัทจึงเข้าซื้อบริษัท Time Warner โดยจะมีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของรายการยอดนิยมอย่างช่อง HBO และ CNN ไปด้วยในราคา 85,000 ล้านเหรียญ

การเข้าซื้อกิจการดังกล่าวทำให้บริษัท AT&T ต้องมีภาระหนี้สินที่เพิ่มมากขึ้น และทำให้เกิดอุปสรรคในการดำเนินงานหลายอย่าง ปัจจุบัน AT&T มีหนี้สินอยู่ทั้งหมด 169,000 ล้านเหรียญ แต่บริษัทเชื่อว่า 75% ของหนี้สินทั้งหมดที่ใช้เพื่อการซื้อบริษัท Time Warner จะคืนทุนภายในสิ้นปีนี้

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย