โอกาสที่อังกฤษจะต้องแยกตัวจากสภาพยุโรป (อียู) ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้โดยแทบไม่มีเวลาเตรียมตัวสร้างสัมพันธไมตรีกับประเทศอื่นๆ ในทวีปเดียวกันเลยด้วยซ้ำนั้นกำลังมีสูงมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุการณ์นี้เรียกได้อีกอย่างว่า การออกจากอียูโดย “ไม่ตกลง” กับข้อตกลงใดๆ ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศ กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ และธุรกิจหลายแห่งต้องเคว้งคว้างโซซัดโซเซได้
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายไม่เคยประสบผลสำเร็จในการเจรจาร่วมกัน แถมยังสร้างความหงุดหงิดใจอยู่ตลอดเวลามาเป็นเวลาหลายปี ตำแหน่งทางการเมืองกลับเป็นสิ่งที่เริ่มมีความสำคัญยิ่งกว่า นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษกล่าวว่าสหราชอาณาจักรจะแยกตัวออกจากอียูภายในเวลาสองเดือน ไม่ว่าจะตกลงกันได้หรือไม่ก็ตาม และยื่นคำขาดให้อียูถอดมาตรการ backstop ซึ่งเป็นมาตรการเพื่อป้องกันเขตชายแดนระหว่างไอร์แลนด์กับไอร์แลนด์เหนือออกจากข้อตกลงทั้งหมด
เยอรมนีคาดว่า “มีโอกาสสูงมาก” ที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากอียู จากข้อมูลใน เอกสาร ที่รั่วไหลออกมาจากกระทรวงการคลังระบุด้วยว่าเป็นเรื่อง “น่าประหลาดใจ” ที่นายจอห์นสันจะลดความแข็งขืนในท่าทีของตนลง นอกจากนี้ยังระบุไว้ด้วยว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากที่อียูจะต้องยึดตามแนวทางเดิมของตนไว้ต่อไปให้ได้ ทั้งนี้อียูได้ปฏิเสธการขอให้เปิดพิจารณาข้อตกลงในการถอนตัวที่เคยทำไว้กับนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษคนก่อนอีกครั้งไปแล้ว
หากว่าอังกฤษจะต้องแยกตัวออกจากอียูโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ ที่เหมาะสมมารองรับแล้ว สหภาพศุลกากรและหน่วยงานอื่นๆ ที่เป็นผู้ควบคุมการไหลเวียนของสินค้า ให้บริการหรือสนับสนุนด้านเงินทุนกับกลุ่มประชาชนอาจจะต้องย้อนกลับไปยึดตามกฎองค์การการค้าโลกอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอัตราภาษีหรือการตรวจคนเข้าเมือง และแน่นอนว่าจะต้องมีงานเอกสารต่างๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย
กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จะได้รับผลกระทบ
กลุ่มอุตสาหกรรมหลักกลุ่มหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบหากสหราชอาณาจักรต้องแยกตัวออกจากอียูโดยไร้ซึ่งข้อตกลงใดๆ จริงคืออุตสาหกรรมรถยนต์ ซึ่งจะเกิดผลกระทบกับทั้งสองฝั่งของ Brexit
ตำแหน่งงานนับแสนตำแหน่งในเยอรมนีก็อาจจะหายไปจากเหตุการณ์นี้ด้วยเช่นกัน
ราคาหุ้นรายสัปดาห์ของ VOWG ในช่วง 12 เดือนล่าสุด
จากข้อมูลใน รายงาน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ Halle ชี้ว่าผู้ที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือโรงงานผลิตรถยนต์ของ Volkswagen (DE:VOWG) และ BMW (DE:BMWG)
ปัจจุบันสหราชอาณาจักรเป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดเพียงแห่งเดียวของบริษัทผลิตรถยนต์ของเยอรมันทั้งสองบริษัทดังกล่าว จากข้อมูลของ VDA หรือสมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ของเยอรมันชี้ว่า ในปีที่ผ่านมามีการ ส่งออก รถยนต์ไปยังสหราชอาณาจักรจำนวน 665,573 คัน ลดลง 13.4% จากสาเหตุที่มีความต้องการซื้อน้อยลง และมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นอันดับรองลงมาจำนวน 470,474 คัน
VDA กล่าวเมื่อต้นปีว่า “ผลที่จะเกิดขึ้นตามมาหากว่าอังกฤษตัดสินใจแยกตัวโดยไร้ซึ่ง ‘ข้อตกลง’ ใดๆ น่าจะส่งผล เสียหายร้ายแรง ได้” ทั้ง BMW, Volkswagen และ Daimler (DE:DAIGn) ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ของ Mercedes-Benz ได้ขอให้รัฐบาลอังกฤษหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้ส่งผลกระทบรุนแรงและเรียกร้องให้ใช้มาตรการซื้อขายแบบปลอดภาษีเช่นเดิมต่อไป นายฮารอลด์ ครูเกอร์ หัวหน้าฝ่ายบริหารของ BMW ได้เรียกร้องให้นายจอห์นสันล้มเลิกการแยกตัวออกจากอียูเนื่องจากจะเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครได้เป็นผู้ชนะ
และแม้ว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในอังกฤษเกือบทั้งหมดจะเป็นบริษัทของต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท BMW ซึ่งผลิตรถ Mini ส่วน Indian giant Tata (NS:TAMO) ผลิตรถ Jaguar และ Land Rover ส่วน Volkswagen ก็ผลิตรถ Bentley โดยหลายบริษัทก็ยังคงประกอบรถยนต์ในสหราชอาณาจักรอยู่ โดยทั้งหมดนั้นมีจำนวนถึง 80% ที่ต้องส่งออกนอกประเทศ การส่งออกรถยนต์คิดเป็นสัดส่วน 14.4% ของปริมาณการส่งออกรวมทั้งหมดของอังกฤษ
นอกจากนั้นอุตสาหกรรมนี้ยังมีการจ้างแรงงานถึง 168,000 คนและทำให้รัฐบาลอังกฤษมีรายได้จำนวน 82,000 ล้านปอนด์ (99,000 ล้านเหรียญ) และยิ่งหากมีการใช้มาตรการทางภาษีมาใช้เพิ่มเติมอีกก็จะยิ่งทำให้สหราชอาณาจักรได้รับผลกระทบหนักมากขึ้นไปอีก
โรงงานหลายแห่งในสหราชอาณาจักรเริ่มทะยอยปรับลดปริมาณการผลิตลงและบางรายก็เริ่มย้ายไปที่อื่น ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา BMW ออกมาเตือนว่าอาจจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตรถยนต์ Mini และเครื่องยนต์ต่างๆ ออกจากสหราชอาณาจักร ส่วนบางบริษัทที่ยังอยู่ในสหราชอาณาจักรและต้องการสนับสนุนหน่วยธุรกิจในอังกฤษก็อาจจะได้รับผลกระทบถึงสองครั้ง สมาคมผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ (SMMT) ได้เขียนไว้ใน เว็บไซต์ เมื่อเดือนกรกฎาคมว่า “กลุ่มอุตสาหกรรมที่เคยดำเนินการอย่างมั่นคงมาอย่างยาวนาน รวมถึงแรงงานนับแสนคนในธุรกิจนี้อาจได้รับผลกระทบอย่างสาหัสจากการแยกตัวออกจากอียูโดยไร้ซึ่งข้อตกลงในครั้งนี้ก็เป็นได้”
ธุรกิจสายการบินก็จะได้รับผลกระทบด้วย
ธุรกิจการบินเป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่จะต้องได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ ในช่วงใกล้ถึงกำหนดเส้นตาย Brexit ก่อนหน้านี้ในวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา อียูได้ผ่านกฎหมายที่อนุญาตให้สามารถทำการบินต่อเนื่องระหว่างจุดหมายปลายทางในสหราชอาณาจักรกับอียูได้ไปจนถึงเดือนมีนาคม 2020 ส่วนทางด้านของอังกฤษก็ออกกฎ ที่สอดคล้องกัน ออกมาด้วยเช่นกัน
แม้ว่าสายการบินต่างๆ จะยังทำการบินได้ตามปกติ แต่ก็มีข้อบังคับชั่วคราวบางอย่างที่กำหนดเป้าหมายปลายทางเฉพาะจุดไว้ด้วย กล่าวคือ สายการบินอย่าง British Airways, International Airlines Group (LON:ICAG), EasyJet (LON:EZJ) และ Ryanair (LON:RYA) จะไม่สามารถบินผ่านหรือบินเข้าไปภายในเขตอียู หรือเข้าไปรับผู้โดยสารจากสนามบินในเขตอียูไปยังปลายทางภายนอกได้
กราฟรายสัปดาห์ของหุ้น RYA ในช่วง 12 เดือนล่าสุด
ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม นายไมเคิล โอแลรี ประธานฝ่ายบริหารของสายการบิน Ryanair ก็เคยวางแผนที่จะปรับลดจำนวนพนักงานและจำนวนเครื่องบินลง ซึ่งการปรับลดนี้ไม่ได้มีสาเหตุมาจาก Brexit เพียงอย่างเดียว โดยได้กล่าวผ่าน ข้อความ ทางวิดีโอว่า “หากอังกฤษจะแยกตัวออกจากอียูโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ มารองรับจริงๆ ก็น่าจะส่งผลเสียกับสายการบินของเราที่อยู่ในสหราชอาณาจักรและไอร์แลนด์เป็นอย่างมาก”
บริษัทผู้ให้บริการทางการเงินก็จะได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน
การแยกตัวของอังกฤษออกจากอียูโดยไม่มีข้อตกลง บริษัทในกลุ่มผู้ให้บริการทางการเงินต่างๆ จะสูญเสีย “สิทธิ์หนังสือเดินทาง” ที่อนุญาตให้สามารถดำเนินการที่ใดก็ได้ในเขตตลาดอียู
RBS Weekly TTM
ธนาคารอย่าง Barclays (LON:BARC), HSBC (LON:HSBA) และ RBS (LON:RBS) อาจจะมีการเตรียมความพร้อมที่ดีกว่าบริษัทซึ่งไม่ใช่สถาบันการเงิน เนื่องจากเคยต้องผ่านการกำหนดกฎเกณฑ์สำคัญต่างๆ มาก่อนจึงทำให้ทราบว่าผลกระทบที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินจะเป็นเช่นไร
แม้ว่าจะมีการวางแผนเตรียมการกับเรื่อง Brexit กันมาเป็นอย่างดีก็ไม่ได้ช่วยทำให้ปัญหาที่ธุรกิจในกลุ่มนี้กำลังต้องเผชิญลดน้อยลงได้เลย มีรายงานว่านายไมเคิล โคล-ฟอนเทน ประธานสมาคมตลาดทางการเงินในยุโรปได้ออกมา เตือน เกี่ยวกับเรื่องนี้ในการประชุมเมื่อเดือนที่ผ่านมาด้วย
ธนาคารรายใหญ่หลายรายในยุโรปอย่าง Deutsche Bank (DE:DBKGn), BNP Paribas(PA:BNPP) และ Credit Agricole (PA:CAGR) กล่าวว่าพวกเขาได้เตรียมการรับมือกับสถานการณ์ Brexit ทุกรูปแบบไว้แล้ว
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายคริสเตียน ซูวิง หัวหน้าฝ่ายบริหาร Deutsche Bank ออกมากล่าวไว้เมื่อเดือนมกราคมว่าธนาคาร มีการเตรียมความพร้อมไว้เป็นอย่างดี สำหรับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกรณีของ Brexit ซึ่งรวมทั้งการแยกตัวออกจากอียูโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ ด้วย การแยกตัวในครั้งนี้อาจทำให้อังกฤษต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจถดถอยเป็นเวลาอย่างน้อยสองปี และอาจจะทำให้ผลิตผลด้านเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอียูต้องลดลดประมาณครึ่งจุดเปอร์เซ็นต์
"ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในด้านการค้าขาย สภาพทางการเงิน และความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะค่อนข้างมีสูงมาก"
ในช่วงที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากอียูจริง จะมีการประกาศใช้กฎบางอย่างเพื่อให้มั่นใจว่าธุรกรรมทางการเงินต่างๆ จะยังดำเนินต่อไปได้ หน่วยงานแลกเปลี่ยนเอกสารทางการเงินหรือหักบัญชีจะได้รับสิทธิ์ชั่วคราวในการเข้าถึงข้อมูลซึ่งกันและกันได้จนถึงเดือนมีนาคมปี 2020 และหน่วยงานรับฝากหลักทรัพย์ตัวกลางก็จะยังสามารถซื้อขายหลักทรัพย์ต่อไปได้อีกเป็นเวลา 18 เดือน
ตัวแทนกลุ่มอุตสาหกรรมนี้ได้เรียกร้องให้คณะกรรมการผู้กำหนดกฎเกณฑ์ขยายระยะเวลาเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดเสถียรภาพที่มากขึ้น องค์การตลาดหลักทรัพย์แห่งยุโรปก็แสดงความกังวลว่าการซื้อขายหุ้นจะดำเนินต่อไปอย่างไรในช่วงที่มีการแยกตัวออกจากอียูพร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานของสหราชอาณาจักร จัดเตรียม แผนการสำรองไว้โดยเร่งด่วน