คาดมาร์จิ้นต่ำสุดใน2Q62..มีโอกาสดีจากงานใหม่
- STEC แจงผลกระทบ 2Q62 เกิดจากมาร์จิ้นที่เกิดจากงานโรงไฟฟ้าที่มีมาร์จิ้นดีหมดลง ขณะที่การรับรู้รายได้จากโครงการรัฐสภาที่มีมาร์จิ้นศูนย์เปอร์เซ็นคืบหน้าเพิ่ม และในเวลาเดียวกันมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากการเข้าประมูลงานภาครัฐขนาดใหญ่เช่น มอเตอร์เวย์ และ สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งผู้บริหารคาดจะเป็นไตรมาสที่เห็นกำไรน้อยสุดของปี
- คาดใน 2H62 มาร์จิ้นมีโอกาสฟื้นตัวจากงานโรงไฟฟ้า ศรีราชา และ จะนะที่เริ่มทยอยรับรู้รายได้ ซึ่งยังอยู่ในกรอบ 6% ใกล้เคียงที่เราประมาณการ ขณะที่การรับรู้รายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม-ชมพู-เหลือง ยังคงเพิ่มขึ้นตามความคืบหน้าของงาน คาดรายได้ในเบื้องต้นอยู่ที่ราว 1.6-1.7 หมื่นล้านบาทเติบโตราว 10-15% HoH ซึ่งทั้งปีรายได้ยังคงใกล้เคียงประมาณการของเราที่ 3.2 หมื่นล้านบาท และในปี 2563 บริษัทคาดจะมีรายได้ราว 3.7 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่เราประมาณการไว้ 5%
- บริษัทยืนยันโครงการรัฐสภาจะไม่มีการตั้งสำรองเพิ่ม โดยการตั้งสำรองก่อนหน้าได้ครอบคลุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายของโครงการแล้ว ความคืบหน้าของการก่อสร้างคาด ณ สิ้นปี 2562 สามารถก่อสร้างคืบหน้าได้ 60-70% และในปี 2563จะเก็บงานได้หมดและส่งมอบงานในช่วงปลายปี
- แม้ STEC จะมีงานในมือปัจจุบันสูงถึง 9.3 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดีบริษัทยังคงมุ่งหวังเพิ่มงานใหม่ โดยเข้าประมูลงานใหม่ต่อเนื่อง โดยมีโครงการที่คาดหวังเช่น โครงการสนามบินอู่ตะเภา (ประมูลร่วมกับพันธมิตร) มีวงเงินเป็นงานก่อสร้างราว 6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น 3 เฟส เฟสแรกมีวงเงินก่อสร้างราว 2 หมื่นล้านบาท และคาดหวังได้รับงานอื่นจากภาคเอกชนจากกลุ่ม Commercial Building ราว 3-4 พันล้านบาท
- ช่วงปลายปี 2562-ปี 2563 บริษัทคาดเห็นความคืบหน้าของกรอบเวลางานประมูลภาครัฐเช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม-ม่วงต่อขยาย และ งานรถไฟทางคู่เฟส 2 รวมถึงงานในกลุ่ม EEC
- เดินหน้าโครงการหมอชิตแลนด์ คาดหวังเป็นรายได้ส่วนเพิ่มนอกเหนือจากงานก่อสร้าง โดยคาดก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2566
คงคำแนะนำ “ เก็งกำไร”
- เราคาดว่าการฟื้นตัวของมาร์จิ้นและผลประกอบการของ STEC ยังคงเป็นที่จับตา จุดเด่นการมีงานในมือสูงกว่ากลุ่ม 9.3 หมื่นล้านบาท ยังคงผลักดันรายได้ให้มีความต่อเนื่องที่ดี โดยเราประมาณการรายได้ ในปี 2562-2564 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 11 % และระดับมาร์จิ้นเฉลี่ย ราว 5-6%
- มีภาพบวกที่ดีจากการรับงานใหม่ของภาครัฐ ทั้งในรูปแบบของการเป็นพันธมิตร ร้บงานร่วมกับกลุ่มเช่น (BTS,RATCH,GULF) และจากความสัมพันธ์ที่ดีทำให้มีโอกาสสูงในการรับงานก่อสร้างเพิ่มจากพันธมิตรเช่น GULF ทั้งจากการประมูลงานภาครัฐอื่นและงานโรงไฟฟ้า รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจ Commercial Building ในรูปแบบ ของห้างสรรพสินค้าและ Mixed use จะช่วยเพิ่มการรับงานใหม่ในส่วนของภาคเอกชน ในช่วง 2-4 ปีข้างหน้า
- ประเด็นติดตามคือ 1)การรับงานร่วมกับ Partner ในการรับงานรูปแบบ PPP อาจส่งผลต่อระดับมาร์จิ้นที่ต่ำกว่าปกติเนื่องจากมีผลกระทบจากการแข่งขันที่สูง 2)โครงการที่มีมาร์จิ้นต่ำเช่นโครงการอุโมงค์หนองบอน-และ โครงการรัฐสภายังคงกดดันระดับมาร์จิ้นต่อเนื่องไปปี 2563 ภาระต้นทุนที่ควบคุมไม่ได้อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งยังอยู่นอกเหนือประมาณการ
- ราคาเหมาะสม ปี 2563 ที่ 24.80 บาท (อ้างอิง PBV -0.50 ที่ 3.16เท่า)
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities