รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

5 สิ่งที่ได้เรียนรู้จากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงไตรมาสที่สาม

เผยแพร่ 08/10/2562 13:51
อัพเดท 09/07/2566 17:31

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดไตรมาสมาสที่ 3 ของปี 2019 ไปเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 และดัชนีดาวต่างก็ปรับขึ้นมาได้ 1.19% ส่วนดัชนี NASDAQ ปรับลดลง 0.09%

เมื่อเริ่มต้นเดือนตุลาคม ตลาดก็ยังปรับตัวลดลง โดยดิ่งลงหนักในวันอังคารและวันพุธ แม้ว่าในวันพฤหัสบดีและศุกร์จะสามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ได้ช่วยชดเชยได้มากเท่าที่ควร สุดท้ายแล้วดัชนี SPX ก็ลดลงไป 0.33% เช่นเดียวกับที่ดัชนีดาวลดลง 0.92% ส่วนดัชนี NASDAQ ปรับขึ้นมาได้ 0.9%

แนวโน้มสำคัญ 5 ประการที่เห็นได้ชัดเจนว่าส่งผลกระทบกับตลาดหุ้นในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคมเป็นอย่างมาก และน่าจะมีผลกับการซื้อขายของตลาดในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้เช่นกันมีดังต่อไปนี้

1. ดัชนี SPX ที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดได้ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมยังคงไม่กระเตื้อง

หลังจากวันที่ 19 กันยายนเป็นต้นมา ดัชนี S&P 500 ก็ยังไม่สามารถขึ้นไปแตะเหนือระดับ 3,000 ได้เลย ล่าสุดก็ยังอยู่ที่ระดับต่ำกว่าราคาสูงสุดของวันที่เคยทำได้ในวันที่ 26 กรกฎาคมที่ระดับ 3,027.98 อยู่ถึง 2.5% แม้ว่าในระหว่างวันจะเกือบแตะระดับราคาของวันที่ 19 ได้ก็ตาม

SPX Weekly TTM

กราฟราคาดัชนี SPX รายสัปดาห์ในช่วง 12 เดือนล่าสุด

เมื่อพิจารณาจากกราฟจะเห็นได้ว่าไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย การที่ราคาหุ้นหรือดัชนีปรับตัวขึ้นมาจนเกือบแตะจุดสูงสุดเดิมแต่ยังไม่สามารถทำได้นั้น หมายความว่านักลงทุนยังอาจมีความกังวลในเรื่องความแข็งแกร่งว่าจะยั่งยืนเพียงใด ในกรณีของดัชนี S&P 500 ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความกังวลดังกล่าวก็คือสภาพเศรษฐกิจระดับมหภาคนั่นเอง

อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การสูญเสียโมเมนตัมของตลาดหุ้น ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นมาในปีนี้ได้ 18.7% แต่ 70% ของราคาที่ปรับขึ้นนั้นมาจากไตรมาสแรกที่ปรับขึ้นได้ 13.1% ส่วนไตรมาสที่สาม ดัชนี SPX ปรับลดลง 0.8%

2. ปัญหาทางด้านภูมิศาสตร์การเมืองที่กดดันตลาดอยู่ในขณะนี้ต้องได้รับการแก้ไข

ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรืออัลกอริทึมการลงทุนต่างๆ ก็คงจะเกิดความสับสนกับข้อพิพาทในด้านสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่ยังยืดเยื้อยาวนานอย่างนี้ไปตามๆ กัน ดังนั้นนักลงทุนจึงเริ่มหันไปวิเคราะห์ทิศทางจากธุรกิจในภาคการผลิต รวมถึงกลุ่มอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจแทน การเจรจาทางการค้าจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในสัปดาห์หน้านี้ แต่จีนก็ยังถือว่าเป็นประเทศที่มียืดหยุ่นทางการเมืองสูงมากประเทศหนึ่ง

อัตราภาษีนั้นถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร จนทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ถึงกับต้องทวีตข้อความแสดงความไม่พอใจออกมาจำนวนมากซึ่งก็ส่งผลให้ตลาดเกิดความเครียด แม้ว่าทรัมป์มักจะกล่าวโทษธนาคารกลางอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เศรษฐกิจยังแย่อยู่ แต่ทรัมป์ก็ลืมไปด้วยว่ายังมีปัจจัยในทางลบต่างๆ อีกมากที่เป็นตัวถ่วงตลาดหุ้น ซึ่งรวมไปถึงข้อพิพาททางด้านสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ ราคาพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำ และบริษัท Boeing ซึ่งยังไม่สามารถนำเครื่องบินที่ใช้เครื่องยนต์ 737 MAX ขึ้นบินได้จนถึงทุกวันนี้

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยในเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมนีและสหราชอาณาจักร ซึ่งสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนมากเช่นกัน มิหนำซ้ำยังมีปัญหาใหม่อีกสองเรื่องที่เพิ่งเข้ามาสมทบอีก นั่นก็คือ

  • การไต่สวนเพื่อขอปลดประธานาธิบดีออกจากตำแหน่ง ซึ่งก็จะส่งผลกับสภาวะทางการเมืองไปจนถึงช่วงการเลือกตั้งในปีหน้า

  • การเลือกตั้งในปี 2020: ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าจะมีปัญหาใดเกิดขึ้นอีกบ้าง แต่ปัญหาที่เริ่มก่อตัวให้เห็นคืออลิซาเบธ วอร์เรนอาจชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้ และอาจมีการบังคับใช้กฎระเบียบในระบบทางการเงินและระบบสุขภาพ รวมทั้งอาจมีการล้มบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ด้วย

สิ่งที่จะเป็นตัวแปรสำคัญในขณะนี้ได้อาจเป็นการทวีตข้อความจากทรัมป์ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับจีนและธนาคารกลาง ซึ่งก็เคยเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเทขายในตลาดได้นานหลายวันในช่วงปีที่ผ่านมา

3. ดัชนีที่ปรับตัวขึ้นมาได้นั้นเกิดจากหุ้นและกลุ่มอุตสาหกรรมที่หมุนเวียนกันไปเพียงไม่กี่ตัว

เมื่อพิจารณาดัชนีดาว ซึ่งมีหุ้นอยู่ทั้งหมด 30 ตัวนั้น การที่ดัชนีปรับขึ้นมา 13.9% ในปี 2019 ได้นั้น 54% เป็นผลมาจากหุ้นเพียงห้าตัวคือ Apple (NASDAQ:AAPL), Home Depot (NYSE:HD), Boeing, Visa และ Microsoft

และเกือบ 59% ของการที่ดัชนี NASDAQ 100 ปรับขึ้นมาได้ 22.5% นั้นได้รับผลมาจากการปรับตัวขึ้นของหุ้น Apple, Microsoft, Amazon.com, Facebook, Comcast, หุ้นทั้งสองคลาสของบริษัท Alphabet และ Costco Wholesale

แต่ล่าสุด ความผันผวนของตลาดก็ทำให้เกิดการหมุนเวียนกลุ่มอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ในช่วงปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นห้าตัวจากดัชนีดาวที่มีการซื้อขายกันในช่วงห่างจากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์เพียง 2 จุดเปอร์เซนต์ประกอบด้วย Nike, Procter & Gamble, Walmart, Home Depot และ Verizon ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยของดัชนีดาวนั้นมีการซื้อขายกันต่ำกว่าราคาสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์มากกว่า 10% การปรับลดลงจากราคาสูงสุด 10% ถือว่าเป็นการปรับฐานที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป

มีหุ้นเพียง 10 ตัวจากจำนวนทั้งหมด 100 ตัวของดัชนี NASDAQ ที่ทรงตัวอยู่ห่างจากราคาสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ได้ไม่เกิน 2 จุดเปอร์เซนต์นำทีมโดย Apple ซึ่งยังคงแข็งแกร่งและมีระยะห่างจากราคาสูงสุดเพียง 0.6% ส่วนหุ้นตัวอื่นๆ ประกอบด้วย Dollar Tree, PepsiCo, Celgene และ Charter Communications Inc เป็นต้น

ส่วน Microsoft นั้นมีราคาต่ำกว่าจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์อยู่ 3.2% และ Amazon ก็ต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลที่เคยทำได้เมื่อเกือบปีที่ผ่านมาอยู่ถึง 14.7%

4. ตลาดที่อยู่อาศัยและหุ้นของบริษัททางด้านที่อยู่อาศัยอาจเริ่มปรับตัวขึ้นสูงมากจนอาจมีความเสี่ยงได้

ปัจจัยนี้ยังคงมีความยากที่จะแก้ไข เนื่องจากยอดขายในภาคอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้างใหม่ยังคงไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้นับตั้งแต่เกิดวิกฤติในปี 2007 เป็นต้นมา

อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำก็ยังดูเหมือนว่าจะสามารถผลักดันให้มีการอนุญาตก่อสร้าง และการสร้างบ้าน ในอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ได้ แม้ว่าในตลาดหลักๆ ส่วนใหญ่จะยังมีอุปสรรคเกี่ยวกับความสามารถในการใช้จ่ายอยู่ก็ตาม

อัตราเงินกู้ที่ต่ำทำให้เกิดการการขยายตัวขึ้นอย่างมากในช่วงต้นของยุคปี 2000

หุ้นของบริษัทรับสร้างบ้านยังคงถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น D.R. Horton, PulteGroup, Lennar หรือ NVR ซึ่งถือว่าเป็นผู้ขายบ้านที่ทำรายได้มากที่สุดของปีนี้ โดยมียอดขายสูงขึ้นเฉลี่ย 50%

WLH Weekly TTM

กราฟราคาหุ้นของ WLH รายสัปดาห์ในช่วง 12 เดือนล่าสุด

หุ้นของบริษัท William Lyon Homes ผู้รับสร้างบ้านรายใหญ่จากฝั่งเวสต์โคสต์ปรับตัวขึ้นได้ถึง 91% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 กลับปรับขึ้นได้เพียง 17.76%

อัตราราคาต่อกำไร (P/E) ยังชี้ว่าหุ้นดังกล่าวไม่ได้มีมูลค่าเกินจริง แต่การที่ปรับขึ้นได้มากขนาดนี้นั้นอาจไม่ได้ยั่งยืนนัก

5. หุ้น IPO อย่าง Uber, Lyft, WeWork และ Peloton ยังคงมีปัญหา

แม้ในช่วงที่ตลาดจะมีความร้อนแรงสูงมากเพียงใดก็ตาม จะมีหุ้นหรือเหตุการณ์เกี่ยวกับหุ้นที่นักลงทุนมองว่าไม่ได้เรื่องรวมอยู่ด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนกับเมื่อครั้งที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Goldman Sachs and Berkshire Hathaway เข้าซื้อหุ้นของบริษัทสาธารณูปโภครายใหญ่ในเท็กซัสอย่าง TXU ในปี 2007

ในกรณีของ TXU เมื่อราคาพลังงานปรับลดลงมากก็ทำให้บริษัทต้องลำบากตามไปด้วย ข้อตกลงในการขายบริษัทจึงเป็นสัญญาณที่แสดงถึงความร้อนแรงของตลาด แต่เมื่อตลาดหุ้นฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ในช่วงปลายปี 2008 จึงทำให้ทุกคนไม่มีทางลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

ส่วนสัญญาณอันตรายสำหรับปีนี้คือเรื่องของหุ้นซึ่งเปิดจำหน่ายครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) หลายตัวซึ่งราคาล้มไม่เป็นท่าหลังจากเริ่มการซื้อขายได้ไม่นาน หรือแม้แต่ต้องล้มเลิก ไปก่อนวันเปิดจำหน่ายอย่างหุ้นของ We จากบริษัท WeWork

ส่วนทางด้านหุ้นของ Uber, Lyft, WeWork และ Peloton Interactive ที่แต่ละตัวต่างก็มีการเติบโตของรายได้ที่รวดเร็ว แต่ยังไม่สามารถทำกำไรได้ นักลงทุนจึงไม่สนใจที่จะเข้าไปลงทุนเมื่อยังไม่เห็นอนาคตของบริษัท

คำถามสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองการณ์ไปในอนาคตคือ แม้ว่าตลาดจะฟื้นตัวขึ้นได้เมื่อวันศุกร์ แต่ปัญหาของหุ้น IPO ดังกล่าว ประกอบกับปัจจัยอื่นๆ ที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นตัวสร้างแรงกดดันทางจิตวิทยาให้กับตลาดหุ้นต่อไปหรือไม่? แม้เราจะไม่ทราบคำตอบในตอนนี้ แต่สิ่งที่ควรทำคือการพิจารณาข้อมูลทั้งในเชิงเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานให้รอบคอบก่อนการเลือกลงทุน

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย