ราคาน้ำมันปรับขึ้นในวันอังคาร นับว่าขึ้นเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ทำให้นักลงทุนและเทรดเดอร์ต่างก็สงสัยว่า อะไรที่ทำให้อุปสงค์ อุปทานของน้ำมันดิบและสินค้าที่เกี่ยวข้องปรับระดับขึ้นถึง 6%ตั้งแต่ตลาดปิดในวันอังคาร
แน่นอนว่าผู้ที่อยู่ในตลาดลงทุนย่อมรู้ดีถึงสาเหตุที่เป็นตัวผลักดันให้ราคามีรูปแบบที่ปรับตัวขึ้นไป แต่คำถามที่ชวนให้สงสัยเกี่ยวกับตลาดขาขึ้นคือ ตลาดจะยังคงปรับตัวขึ้นได้อีกไกลแค่ไหนและจะไปได้ไกลพอตามที่นักลงทุนหวังไว้หรือไม่ มีเหตุการณ์ไหนที่จะเป็นแรงหนุนให้ตลาดยังคงเป็นขาขึ้น?
หรือเหตุการณ์ที่ว่าจะเป็นข่าวที่พูดกันหนาหูเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าข้อตกลงด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ใกล้จะสำเร็จ ซึ่งทำให้ดัชนีพุ่งขึ้นเป็นประวัติการ ไม่เฉพาะแต่ดัชนีS&P 500 และ NASDAQ ยังรวมไปถึง ดัชนีดาวโจนส์
ความพยายามร่วมกันที่จะผลักดันตลาดให้สูงขึ้น
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศได้พยายามพูดถึงข้อตกลงผ่านสื่อ
ตั้งแต่สัปดาห์นี้เริ่มต้นขึ้นก็มีคนปล่อยข่าวลือเรื่องภาษีที่กำลังจะเกิดขึ้นว่าจะเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของผู้ซื้อ นั่นส่งผลให้หุ้นทะยานสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังทำให้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นเช่นกัน
แม้กระทั่งทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนมักนิยมใช้ในการคานราคาที่ปรับตัวขึ้นไม่กี่วันก่อนนี้ยังต้องปรับฐานอยู่ในกรอบราคากว้างๆ
สถานการณ์ของน้ำมันดิบเวส์ทเท็กซัสของสหรัฐฯ และจากน้ำมันดิบแบรนท์ของสหราชอาณาจักรตอนนี้คือเมื่อมีการลงนามการค้าข้อตกลงการค้าเฟสแรกแล้วนั้น พวกเขาจะนำน้ำมันดิบผลิตใหม่หลายล้านบาร์เรลและสินค้าอย่างอื่นเข้าสู่ตลาดตามอุปสงค์ของตลาด
แม้ข้อตกลงจะยังไม่เกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งยังไม่มีอุปสงค์ของตลาด แต่นักลงทุนในตลาดน้ำมันก็ยังเชื่อว่าตลาดจะเป็นช่วงขาขึ้นแน่นอน
ความน่าเชื่อถือที่สั่นคลอนในปี 2019
หลังจากที่ตลาดน้ำมันดิบเมื่อต้นปีสามารถทำให้ราคาพุ่งขึ้นเกือบ 50% แต่พอถึงจุดหนึ่ง การซื้อขายน้ำมันก็ลดลง
แม้กระทั่งเหตุการณ์โจมตีบ่อน้ำมันของซาอุดิอาระเบียก็ไม่ค่อยกระตุ้นสักเท่าไหร่
ข้อตกลงทางการค้าอาจจะมีแรงหนุนที่แรงพอที่จะทำให้กราฟทะลุเส้นราคาขึ้นไป หรืออย่างน้อยก็อาจจะช่วยให้ราคาน้ำมันดิบเวส์ทเท็กซัสทะลุกรอบราคาพรีเมี่ยมที่ 25% เมื่อเทียบกับปี 2018
Rystad Energy กล่าวว่าผลกระทบเพียงอย่างเดียวของสงครามการค้าคือสิ่งที่บังคับให้ลดการคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันในปี 2019 เหลือ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน
องค์การพลังงานระหว่างประเทศซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสำหรับผู้ใช้พลังงานตะวันตกได้ลดการคาดการณ์ความต้องการใช้น้ำมันลงเหลือเพียง 100,000 บาร์เรลต่อวัน ทั้งในปี 2019 และปี 2020 โดยอ้างถึงข้อกังวลทางเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก ซึ่งรวมถึงข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
กลุ่มผู้ผลิตโอเปกกล่าวว่าผลผลิตน้ำมันดิบและพลังงานอื่น ๆ คาดว่าจะลดลงเหลือ 32.8 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2024 จาก 35 ล้านบาร์เรลในปี 2019 ในขณะที่การประกาศของโอเปกจะมีขึ้นในเชิงกลยุทธเพื่อป้องกันการลดอัตราการผลิตเพื่อให้สอดคล้องกับราคาตลาด แต่พันธมิตรสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้หากเงื่อนไขของตลาดการประกันราคา
ข้อตกลงทางการค้าสามารถทำให้ราคาน้ำมัน 'สั่นคลอน' ได้
นาย Artyom Tchen นักวิเคราะห์อาวุโสของ Rystad กล่าวในเดือนสิงหาคม:
“เมื่อพิจารณาถึงจุดนี้สิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับราคาน้ำมันหากสองประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกบรรลุถึงข้อตกลงระยะยาว ในช่วงปีที่ผ่านมาราคาน้ำมันปรับตัวลดลงเนื่องจากความกลัวต่อข้อพิพาททางการค้า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและอุปสงค์ที่ลดลง”
“แม้หากความกลัวนั้นไม่มีมูลความจริงแต่มันก็สามารถสั่นคลอนตลาดได้”
กำไรที่เพิ่มขึ้น 6% เมื่อสามวันที่ผ่านมา นั้นยังไม่ถือว่าตลาดจะนิ่ง แม้ว่าตลาดในเอเชียเริ่มการซื้อขายวันพุธต่ำกว่าข้อมูลเบื้องต้นของ สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐ ในสัปดาห์ที่แล้ว
สรุป ข้อตกลงการค้าเฟสแรก ควรจะขยับ จาก “การเจรจา” เป็น “การลงนาม” เสียที
ประเด็นที่เราต้องทำคือต้องมั่นใจว่าจะมีน้ำมันมากพอเพื่อรองรับข้อตกลงทางการค้าที่จะมาถึง
ซึ่งน้ำมันไม่เหมือนตลาดหุ้น เพราะน้ำมันดิบเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ทางกายภาพที่ต้องผลิตออกมาให้เหมาะสมกับอุปสงค์และอุปทานของตลาด ดังนั้นหากข้อตกลงทางการค้าในเฟสแรกจะมาถึง ตลาดน้ำมันต้องเตรียมพร้อมสำหรับตลาดขาขึ้น