สัปดาห์นี้: การเคลื่อนไหวที่สำคัญในตลาด

• ข้อมูลเศรษฐกิจอันแข็งแกร่งของสหรัฐฯ

• นักลงทุนยังคงรอการตัดสินใจในวันที่ 15 ธ.ค. ในเรื่องภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคจากจีน

• การตัดสินใจเรื่องนโยบายทางการเงินมากมายมีกำหนดปล่อยในสัปดาห์นี้ รวมไปถึง เฟด ECB และ SNB

ตัวเร่งปฏิกิริยา Array มีแนวโน้มว่าจะขับเคลื่อนตลาดไปสู่การเคลื่อนไหวที่สำคัญในสัปดาห์นี้ คำถามที่ไม่สามารถตอบได้ในตอนนี้คือ ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของคลื่นเส้นใหม่หรือจะเป็นไปในอีกทางหนึ่งก็ตามแต่

ข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวกปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ดัชนีหลักทั่วโลกต่างปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวันศุกร์ และดัชนีของสหรัฐฯ ปิดตลาดที่จุดที่ห่างจากเดิมเป็นประวัติการณ์สร้างบันทึกใหม่ อย่างไรก็ตามหุ้นทั่วโลกยังคงแซงหุ้นอเมริกันเนื่องจากดัชนีต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งเป็นผลมาจากตัวเลขภาคการผลิต PMI ที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นตัวแทนของการเติบโตทั่วโลกที่ดีขึ้น อุปสงค์เริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการผลิต

ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่การค้ายังคงอยู่ในระดับเดิม

เกณฑ์มาตรฐานอเมริกัน ซึ่งรวมไปด้วยดัชนี S&P 500 ดาวโจนส์ NASDAQ and Russell 2000 ต่างพุ่งขึ้นเมื่อวันศุกร์ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นสูงสุดในหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ตัวขับเคลื่อนหลัก: รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของเดือนพ.ย. ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ นั้นรวมถึงงานใหม่ที่มีการจ้างงาน 266,000 ตำแหน่ง อัตราการว่างงานลดลงเหลือ 3.5% ส่งผลให้ตัวชี้วัดอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยและการปรับเปลี่ยนตัวเลขก่อนหน้านี้สองครั้งเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

ในขณะที่ตลาดแรงงานหยุดชะงักการผลิตยังคงอ่อนแอ ดัชนีของสถาบันการจัดการอุปสงค์ (Institute of Supply Management) ลดลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการหดตัวเพิ่มมากขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบทศวรรษ นักลงทุนต้องตัดสินใจว่าเศรษฐกิจทั่วโลกสามารถรับมือกับความอ่อนแอในภาคการผลิตอย่างต่อเนื่องได้หรือไม้ เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้น 5 เดือนติดต่อกันในปี 2015 ซึ่งตัวเลขที่แย่ที่สุดในช่วงนั้นคือ การติดลบ 15% ในช่วงครึ่งปีหลัง

เฟดและธนาคารกลางของยุโรปซึ่งรวมไปถึง ECB, SNB และ ธนาคารกลางรัสเซีย ต่างก็คาดหวังว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ส่วนในการเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษนั้น มีการคาดการณ์ว่านายกรัฐมนตรี บอริส จอนห์นสันจะชนะการเลือกตั้งเพื่อปูทางไปยังเหตุการณ์ Brexit

สถานการณ์ทางการค้ายังคงไม่มีอะไรคืบหน้า นักลงทุนอาจจะยืนยันว่าพวกเขาได้รับสัญญาณที่น่าเชื่อถือจากสหรัฐฯ ว่าจะยกเลิกการเก็บภาษีสินค้าจากจีนที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธ.ค. นี้ อัตราภาษีเหล่านี้มีกำหนดที่จะเรียกเก็บจากสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับผู้บริโภค อีกด้านหนึ่งจะเป็นการกดดันให้นักการเมืองทำข้อตกลงทางการค้าในที่สุด แม้จะเป็นเพียงบางส่วนก็ตาม

อย่างไรก็ตามจากมุมมองทางเทคนิคหุ้นยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับฐานอีกครั้ง

ดัชนีหลักทั้งสามตัวของสหรัฐฯ มีความต้องการที่จะสร้างจุดสูงสุดเหนือจุดต่ำสุด ดัชนี S&P 500 ยังขึ้นอยู่ใน 0.25% ของวันที่ 27 พ.ย. ดัชนีดาวโจนส์ปิดที่ 0.53% จากบันทึกก่อนหน้า ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 0.57% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวันที่ 27 พ.ย. ดัชนี Russell 2000 ปิดที่ 0.02% ในวันที่ 27 พ.ย. เป็น 6.6% จากวันที่ 30 ส.ค.

ในแต่ละสัปดาห์ เส้นค่าเฉลี่ย VIX จะถึงระดับ 12.00 และโค้งกลับขึ้น ซึ่งระดับนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันตั้งแต่เดือนก.ค. ปี 2018 ความผันผวนจะกลับคืนสู่ระดับ 20 ที่เห็นในเดือนพ.ค.และส.ค. หรือแม้กระทั่งจุดสูงสุดในเดือนก.พ.และธ.ค. ในปี 2018 ในระดับ 30 หรือไม่

การเติบโตของโลกที่เกิดขึ้นจากความไม่ลงรอยกันของการค้าส่งผลให้พันธบัตร 10 ปี ลดลงไปที่จุด 80 เบสิส ในปี 2019 ส่งผลให้ตราสารหนี้มีผลตอบแทน 7.3% ในปีนี้จนถึงวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งเป็นปีที่ดีที่สุดของตลาดพันธบัตรตั้งแต่ปี 2011

ในทางเทคนิค อัตราผลตอบแทนถูกกับดักอยู่ในช่วงตั้งแต่ดอกเบี้ยที่พยายามข้ามเหนือเส้นแนวโน้มขาลงตั้งแต่เดือนพ.ย. 2018 (เส้นหนา)

เหมือนกับพันธบัตร ค่าเงินดอลลาร์ก็ได้รับผลดีจากรายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเด้งเหนือเส้นต่ำสุดในเดือนส.ค. และเหมือนกันกับเส้นแนวโน้มขาขึ้นตั้งแต่กลางเดือนมิ.ย. 2018

ความเสี่ยงและค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นส่งผลกระทบต่อทองคำ ซึ่งปรับตัวร่วงลงเนื่องจากผู้ค้าทองคำได้ทำกำไรหลังจากที่มีการปรับตัวขึ้น 22% ของตลาดโลหะมีค่าในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือน มิ.ย.ถึงเดือนส.ค.

สถานการณ์ตลาด Bitcoin ก็เป็นเหมือนตลาดทองคำที่ปรับตัวลดลง 11.7% จากช่วงเวลาเดียวกัน ในขณะที่ทองรูปพรรณยังคงเพิ่มขึ้น 10%

ราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 17 ก.ย. สัปดาห์ที่แล้วขณะที่โอเปกและรัสเซียประกาศว่าจะลดการผลิตลงอีกในความพยายามที่จะสนับสนุนราคาน้ำมันที่ร่วงลงจากระดับ $75 เหรียญในปี 2018 ในขณะที่สเกลน้ำมันดิบที่เส้นค่าเฉลี่ย 200 DMA เจอเส้นแนวต้านทำให้ปรับตัวลงมาที่กรอบปัจจุบันที่ราคา $56 เหรียญ