เชื่อว่ารัฐมนตรีกระทรวงพลังงานแห่งซาอุดิอาระเบียอับดุลอะซีซ บิน ซัลมานคงคาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะต้องมาจัดการประชุมของกลุ่มโอเปกขึ้นอีกครั้งเร็วขนาดนี้หลังจากที่พึ่งจัดการประชุมไปเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมปี 2019
นอกจากนี้เขาคงคิดไม่ถึงว่าโอเปกจะมาถึงวันที่ต้องรอการตัดสินใจเกี่ยวกับการลดกำลังการผลิตน้ำมันจากรัสเซียซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของกลุ่มโอเปกทั้งๆ ที่ซาอุดิอาระเบียอยากลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก 600,000 บาร์เรลต่อวันใจจะขาดเพื่อขจัดความกังวลของนักลงทุนที่วิตกกับผลกระทบของไวรัสโคโรนาที่จะมีต่อปริมาณความต้องการน้ำมันดิบ
รัสเซียเล่นเกมจิตวิทยาเพื่อให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์สูงสุด
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตอนนี้โอเปกและประเทศพันธมิตรอื่นๆ อีก 10 ประเทศพร้อมแล้วที่จะลดกำลังการผลิตเมื่อใดก็ได้ภายในวันสองวันข้างหน้านี้หรือช้าสุดก็คือประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันในวันการประชุมกลุ่มโอเปกวันที่ 5-6 มีนาคม แต่สาเหตุที่โอเปกยังไม่สามารถเดินเกมได้ตามที่ตัวเองต้องการเพราะต้องรอให้รัสเซียเห็นพ้องต้องกันด้วย นักวิเคราะห์เชื่อว่านี่คือเกมจิตวิทยาอันชาญฉลาดของรัสเซียที่ต้องการใช้โอกาสนี้สร้างข้อเรียกร้องให้ตัวเองได้รับผลประโยชน์สูงสุดเท่าที่จะทำได้ก่อนที่จะตัดสินใจลดกำลังการผลิตอย่างที่โอเปกหวัง
ที่ผ่านมาประธานธิบดีปูตินของรัสเซียมักไม่ค่อยกล่าวอะไรเกี่ยวกับการลดการผลิตน้ำมันมากนักและเขามักจะให้นายเครมลินเป็นผู้พูดแทน นับตั้งแต่ไวรัสโคโรนาระบาดทั้งโลกก็จับตาดูความเคลื่อนไหวของโอเปกมาโดยตลอดว่าจะมีมาตรการป้องกันราคาน้ำมันดิบตกต่ำอย่างไร เมื่อพิจารณากลุ่มโอเปกก็ต้องพิจารณาประเทศรัสเซียซึ่งมีบทบาทสำคัญกับการตัดสินใจของโอเปกมาตลอดด้วยซึ่งจนถึงตอนนี้เรายังไม่เห็นรัสเซียแสดงท่าทีใดๆ ออกมากับสถานการณ์ไวรัสโคโรนามากนัก
เป็นที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่เกิดไวรัสโคโรนาแพร่ระบาดทำให้การใช้น้ำมันในประเทศจีนลดลงจนโอเปกเดือดร้อนต้องการลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีกจากเดิมที่พึ่งลดไปเมื่อปี 2019 การที่รัสเซียหรือนายเครมลินไม่พูดอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่าภายในกระทรวงพลังงานของรัสเซียต้องไม่พอใจแน่นอนถ้าต้องลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีกเพราะการลดกำลังการผลิตลงไปมากกว่านี้จะเป็นการเปิดช่องทางให้สหรัฐฯ ประเทศผู้ที่ซึ่งผลิตน้ำมันเองไม่ต้องง้อใครสามารถขายน้ำมันของตัวเองได้มากยิ่งขึ้น ขนาดว่าช่วงต้นปีมีข่าวว่าตัวเลขการผลิตน้ำมันจากหินดินดานของสหรัฐฯ ในปี 2020 จะชะลอตัวลงแต่ตัวเลขการผลิตน้ำมันที่ทำได้ในแต่ละวันยังสร้างสถิตใหม่ได้โดยมีตัวเลขอยู่ที่ 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่สำคัญตัวเลขนี้เกิดขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ได้ลดปริมาณการใช้งานแท่นขุดเจาะน้ำมันทั่วประเทศไปแล้ว 20% ตั้งแต่ปี 2019
“เพื่อให้รัสเซียได้ผลประโยชน์สูงสุดจากการเสียเวลาเล่นเกมการเมืองครั้งนี้ ปูตินกำลังรอช่วงเวลาที่เหมาะสมอยู่และอาจจะเลือกไปลดกำลังการผลิตในวันที่ 5 มีนาคมซึ่งเป็นวันลงนามในสัญญาเลยก็เป็นได้” นางเฮลิมา ครอฟท์ หัวหน้าฝ่ายวางกลยุท๊์การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์จากกองทุน RBC กล่าว
หากเชื่อว่าปูตินจะเซ็นสัญญาลดกำลังการผลิตน้ำมันหลังจากเล่นเกมการเมืองเสร็จแน่นอน คำถามต่อไปที่นักลงทุนควรถามคือเมื่อได้เห็นเงื่อนไขอะไรที่ทำให้รัสเซียจะยอมลดกำลังการผลิตน้ำมันและจะลดกำลังการผลิตอย่างไรแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดน้ำมันดิบต่อหลังจากนั้น
ราคาน้ำมันดิบดีดขึ้นมาได้เพียงสั้นๆ ก็ไม่สามารถขึ้นต่อได้อีกแล้ว
สัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบสร้างความประหลาดใจให้ตลาดลงทุนนิดนึงโดยน้ำมันดิบเบรนท์ดีดตัวกลับขึ้นมา 5% ส่วนน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวกลับขึ้นมาที่ 3% ภายใน 4 วันของการปรับตัวขึ้น หลังจากนั้นราคาน้ำมันดิบก็กลับเข้าสู่สภาวะอ่อนแอเช่นเดิม เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงในตลาดหลักทรัพย์ฝั่งเอเชียและยุโรปและเมื่อวานก็ปรับตัวลดลงอีกในช่วงตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เปิด
คาดว่าการปรับตัวขึ้นมาเมื่อสัปดาห์แล้วของน้ำมันดิบเป็นเพราะปริมาณตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังเพิ่มขึ้นแต่ปัจจัยหนุนนี้ไม่เพียงพอต่อขาขึ้นในระยะยาว นักวิเคราะห์แห่งบริษัทที่ปรึกษากองทุน “Tyche Capital Advisors” ในมหานครนิวยอร์คกล่าวว่า “ผมไม่สามารถมองภาพออกได้เลยว่าราคาน้ำมันจะวิ่งขึ้นไปได้ไกลแค่ไหนในขณะที่ต้องรอการตัดสินใจจากกลุ่มโอเปกและพันธมิตร การดีดกลับขึ้นมาเพียงแค่นี้แปปเดียวราคาน้ำมันก็สามารถกลับไปที่เดิมได้ไม่ยาก”
คำถามต่อไปจึงเกิดขึ้นทันที: อีกไม่นานเราจะได้เห็นราคาน้ำมันร่วงลงอีกแล้วใช่หรือไม่?
ความกังวลที่มีต่อไวรัสโคโรนาอาจทำให้ราคาน้ำมันต้องร่วงลงอีก
นักวิเคราะห์มองว่าในกรณีที่ราคาน้ำมันดิบสามารถปรับตัวขึ้นได้สำหรับเบรนท์ให้มองไว้ที่ $60 ส่วน WTI ให้มองไว้ที่ $55 แต่ถ้าราคาเลือกที่จะลงต่อแนวรับของเบรนท์จะอยู่ที่ $50 ส่วนของ WTI จะอยู่ที่ $45
ขาลงของราคาน้ำมันดิบจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับผลกระทบของสถานการณ์ของไวรัสโคโรนาและจำนวนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสในประเทศจีน ล่าสุดเมื่อวันอังคารตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 72,436 รายเพิ่มขึ้นอีก 1,888 ราย ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,868 รายเพิ่มขึ้นอีก 98 รายจากตัวเลขเดิม 1,770 ราย
นักวิเคราะห์คนเดิมแห่งบริษัทที่ปรึกษากองทุน “Tyche Capital Advisors” ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ไวรัสโคโรนาว่า…
“ตอนนี้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนากันทุกภาคส่วนแล้วโดยเฉพาะประเทศจีนที่ตอนนี้กำลังพยายามต่อสู้อย่างหนัก ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ผลกระทบการไม่บริโภคน้ำมันในประเทศจีนยิ่งส่งผลกระทบยาวนานขึ้นเท่านั้น แม้ว่าโอเปกจะตัดสินใจลดการผลิตน้ำมันจริงและทำให้ราคาน้ำมันดิบขึ้นเป็นรูปแบบตัว V ได้แต่ถ้าสถานการณ์ไวรัสโคโรนายังไม่คลี่คลายสุดท้ายก็ยังเป็นขาลงเหมือนเดิม ที่สำคัญถ้าโคโรนาเริ่มเข้าสู่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้จริงเมื่อไหร่ ตอนนั้นราคาน้ำมันดิบได้ร่วงลงมากกว่าที่เห็นอยู่แน่นอน”