คาด SET Index SET แนวโน้มอ่อนตัวลงกรอบ 1000 - 1100 ยังให้น้ำหนักกับปัจจัยCOVID-19 ที่ดูแล้วยังคงน่ากังวลต่อเนื่องล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วโลกอยู่ที่ 7.2แสนคนพุ่งขึ้นท้าจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องนำมาโดยสหรัฐอันดับแรกที่ 1.41 แสนรายหรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวราว 452% จากสัปดาห์ก่อนตามด้วยประเทศในยุโรปอาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ ที่เร่งตัวขึ้นต่อเนื่องเช่นเดียวกันเชื่อว่าจะกดดันจิตวิทยาการลงทุนต่อเนื่อง ประกอบกับในสัปดาห์ก่อนดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นมาตอบรับข่าวดีต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐวงเงิน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปพอสมควรแล้ว (หมดปัจจัยหนุน) รวมไปถึงราคาน้ำมันดิบที่ยังคงอ่อนแอลงต่อเนื่องเชื่อว่าจะท้าให้กลุ่มน้ำมันกลับมาเป็นปัจจัยกดดันอีกทาง
โดยการปรับฐานของราคาน้ำมันหลักๆเป็นการอ่อนแอจากอุปสงค์ที่อ่อนแอตามภาวะเศรษฐกิจโลกส่วนปัจจัยในประเทศเรามองเป็นลบตั้งแต่ทาง กนง. ปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ เหลือเติบโตติดลบที่ 5.3%YoY นับเป็นระดับที่ต่ำสุดในรอบ 22 ปี (หนักกว่าHamburger แต่น้อยกว่าต้มยำกุ้ง) สะท้อนมุมมองที่เป็นลบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก สุดท้ายเชื่อว่าจะส่งผลต่อประมาณการกำไรดัชนีล่าสุด Bloomberg Consensus คาดที่ 84.9 บาท / หุ้น (-1.5%YoY) ดังนั้นด้วยเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอเชื่อว่าการปรับลดประมาณการยังไม่สิ้นสุด (กดดัน Upside)ส้าหรับผู้ติดเชื้อในประเทศไทยพบว่าฐานการเพิ่มขึ้นจะรักษาระดับบริเวณ 100 +/-ล่าสุดอยู่ที่ 1,388 ราย
ที่น่ากังวลคือสัดส่วนจากกรุงเทพใกล้เคียงกับต่างจังหวัดราวๆ 50% ดังนั้นหากสัดส่วนต่างจังหวัดยังเร่งตัวต่อเรากังวลต่อมาตรการที่จะรุนแรงกว่าเดิมซึ่งจะกดดันทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้น (ล่าสุดภูเก็ตประกาศปิดเมืองด้วยการห้ามเดินทางเข้าภูเก็ตด้วยทางบก และ ทางเรือ ส่วนอากาศยังได้ปกติโดยมีกำหนดถึงสิ้นเดือน เม.ย.) กระทบตรงต่อผู้ประกอบการ
โรงแรมในภูเก็ตเราประเมินหุ้นโรงแรม (ERW) ภายใต้ Coverage เรากระทบเล็กน้อยเนื่องจากสัดส่วนรายได้มาจากกรุงเทพกว่า 65% ขณะที่ภูเก็ตอยู่ราว 7% ส่วนปัจจัยแนะติดตามสัปดาห์นี้ ได้แก่ภาคการผลิตจีน (PMI) เดือน มี.ค. Bloomberg คาดที่ระดับ44.9 (วันอังคาร) , ภาคการผลิตสหรัฐ (PMI) เดือน มี.ค. Bloomberg คาดที่ระดับ46 (วันพุธ) สุดท้ายตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐเดือน มี.ค.Bloomberg คาดติดลบ 8.1 หมื่นต้าแหน่งพร้อมๆกับประเมินว่าอัตราการว่างงานของทางสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.8% จาก 3.5% หากปัจจัยข้างต้นทั้งหมดดีกว่าคาดน่าจะหนุนให้บรรยากาศดีขึ้นแต่ในทางกลับกันอ่อนแอกว่าคาดก็จะกดดันเช่นกันน่าจะเริ่มพิจารณาแบ่งทำกำไรประเมินดัชนีตอบรับข่าวบวกจาก ตปท. ไปเยอะแล้ว
Weekly Strategy: น่าพิจารณาแบ่งทำกำไรเพื่อถือครองเงินสดหลังดัชนีขึ้นรับปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปพอสมควรแล้ว ขณะที่ในเชิงปัจจัยพื้นฐานยังไม่มีพัฒนาการใดๆที่ดีขึ้นมากประกอบกับจะเริ่มเข้าสู่การ Preview 1Q20 ที่น่าจะอ่อนแอ ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ยังเน้น Defensive (ADVANC TTW) รวมถึงหุ้นที่เราประเมินว่า 1Q20 จะยังเห็นการเติบโต YoY (CPF)
ADVANC (BK:ADVANC) (ซื้อ/ราคาเป้าหมาย 237 บาท) เรามองบริษัทมีความน่าสนใจแง่ของธุรกิจที่แข็งแกร่งด้วยการครองสัดส่วนโทรศัพท์เคลื่อนใหญ่สุด โดยมีส่วนแบ่งอยู่ราว 47% และมีลูกค้าในมือถึง 42 ล้านหมายเลขและเป็นเพียงผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีกำไรสะสมอยู่ที่ 4.4 หมื่นล้านบาท หรือ เติบโตราว 37% CAGR ในช่วงปี 16-19นอกจากนี ยังมีอีกธุรกิจ คือ AIS FIBRE ครอบคลุมกว่า 57 จังหวัด โดยเราคาดว่ารายได้จาก AIS FIBRE จะโตเฉลี่ย 8% CAGR ในช่วงปี 20-22E พร้อมๆกับอัตราเงินปันผลเฉลี่ย 3-4%