ยังคงเป็นสัปดาห์ที่นักลงทุนต้องจับตาดูทิศทางของตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิดซึ่งในสัปดาห์นี้ตลาดลงทุนมีความเป็นไปได้ทั้งจะกลับตัวขึ้นหรืออาจจะปรับตัวลดลงต่อ แม้กฎหมายกระตุ้นและเยียวยาทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มูลค่า $2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐจะถูกเคาะออกมาและมีผลบังคับใช้ไปแล้ว แต่ยอดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ (ในขณะที่กำลังเขียนบทความ) แซงหน้าประเทศจีนขึ้นสู่อันดับหนึ่งของโลกเป็นที่เรียบร้อยด้วยตัวเลขยืนยันผู้ติดเชื้อ 125,000 ราย
ดัชนีดาวโจนส์ในสัปดาห์ที่แล้วสามารถสร้างสถิติปรับตัวสูงขึ้นดีที่สุดสามวันติดนับตั้งแต่ปี 1938 หลังจากที่ดาวโจนส์และตลาดหุ้นต้องอยู่ในตลาดขาลงมานาน ถึงกระนั้นในช่วงก่อนปิดตลาดราคาก็ได้วกกลับลงมาอีกครั้งจากความกลัวของนักลงทุน ดัชนีวัดความผันผวนของ CBOE ยังคงยืนเหนือระดับตัวเลข 60 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทะยานขึ้นไปแตะตัวเลข 80 สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของดัชนีเรียบร้อยแล้ว
ท่ามกลางสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่ไม่มีความแน่นอนเช่นนี้ เรายังคงมี 3 หุ้นที่นักลงทุนควรจับตามองในสัปดาห์นี้อยู่เช่นเคยเพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่แล้วอาจส่งผลถึงความเคลื่อนไหวของหุ้น 3 ตัวนี้
1. Boeing
บริษัทโบอิ้ง (NYSE:BA) ดูจะเป็นบริษัทที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์เพราะชุดเยียวยานี้พอจะทำให้บริษัทสามารถต่อลมหายใจกับซัพพลายเออร์และประคองข่าวโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินที่เป็นข่าวนับตั้งแต่เครื่องบิน 737 MAX ตกในปีที่แล้วต่อไปได้
กฎหมายที่สภาได้อนุมัติไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วยังครอบคลุมไปถึงการช่วยเหลือซัพพลายเชนและยังสามารถทำให้ลูกค้าของสายการบินสามารถอยู่กับธุรกิจของโบอิ้งต่อไปได้ เงินจำนวน $1700 ล้านเหรียญถูกโอนมาให้บริษัทกู้ยืมโดยตรงเพราะนอกจากจะเป็นการพยุงโบอิ้งเอาไว้ยังเป็นการพยุงความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ ด้วย
โฆษกของบริษัทโบอิ้งได้ออกมากล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า “โบอิ้งกำลังพิจารณาตัวเลือกในทุกๆ ทางและบริษัทของเราจะยังไม่เดินทางไปถึงจุดที่บริษัทต้องล้มละลายจนรัฐต้องเข้ามาช่วยเหลือและต้องขายหุ้นบริษัทให้กับรัฐบาล”
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นบริษัทโบอิ้งดีดกลับขึ้นมายัง $162 หลังจากร่วงไปที่ $95.01 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม อย่างไรก็ตามภาพรวมการเติบโตของบริษัทส่วนใหญ่ยังคงขึ้นอยู่กับว่าเครื่องบิน 737 MAX จะสามารถกลับขึ้นไปบินบนฟ้าได้เมื่อไหร่
2. Walgreens
บริษัทร้านยาที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศสหรัฐอเมริกาวอลล์กรีน (NASDAQ:WBA) จะรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ปี 2020 ในวันที่ 2 เมษายนก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ที่ $1.46 และมีรายได้รวมทั้งหมด $3,527 ล้านเหรียญสหรัฐ ล่าสุดวอลล์กรีนพึ่งมีมาตรการลดต้นทุนในการขนส่งด้วยรถยนต์เพราะไม่สามารถสู้การแข่งขันแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดกับบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) และบริษัทอื่นๆ ได้
ราคาปิดของหุ้นวอลล์กรีนเมื่อวันศุกร์อยู่ที่ $44 ปรับตัวลดลงมา 4% ในวันเดียว ปีนี้มูลค่าหุ้นของบริษัทลดลงในไตรมาสที่แล้วเพราะมีรายงานว่านักลงทุนขายหุ้นบริษัทเพื่อรอไปซื้อในจุดที่ต่ำกว่านี้ วอลล์กรีนกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องการเปลี่ยนรูปแบบการขายมาเป็นออนไลน์และลดสาขาของร้านค้าปลีกลง ในช่วงซัมเมอร์ครั้งล่าสุดวอลล์กรีนได้ปิดสาขาไปแล้ว 200 สาขาจากที่ก่อนหน้านี้เคยปิดร้านไป 750 สาขา
3. Constellation Brands
ในวันศุกร์ที่ 3 เมษายนที่กำลังจะถึงนี้บริษัทเจ้าของเบียร์ชื่อดังอย่าง “โคโรนา (ที่ไม่ใช่โควิด-19)” (NYSE:STZ) จะรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ปี 2020 นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ที่ $1.64 และมีรายได้รวมทั้งหมด $180 ล้านเหรียญสหรัฐ
รายงานผลประกอบการของบริษัท Constellation เมื่อไตรมาสก่อนหน้านี้มียอดขายที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ไปได้ หลังจากนั้นบริษัทก็ได้เพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสนี้ขึ้นรวมทั้งยังประโคมโฆษณาเบียร์นำเข้าอย่าง Modelo Mexican และเครื่องดื่มอื่นๆ ในเครืออย่างหนัก
ถึงไตรมาสที่แล้วตัวเลขผลประกอบการจะออกมาดีแต่บริษัทก็ต้องเจอคู่แข่งจากแคนาดานาม Canopy Growth (NYSE:CGC) เข้ามากดดันและพยายามแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างหนักด้วยเครื่องหมายการค้าอย่างกัญชาที่สร้างยอดขายที่ดีในประเทศแคนาดา ถือเป็นความท้าทายของบริษัทเจ้าของเบียร์โคโรนาอย่างยิ่ง
ราคาหุ้นล่าสุดของ Constellation ร่วงลงมากกว่า 17% ในช่วง 4 สัปดาห์ล่าสุด นอกจากชื่อเบียร์จะเหมือนชื่อไวรัสโคโรนาที่กำลังทำร้ายเศรษฐกิจทั่วโลกในตอนนี้ยังกระทบต่อยอดขายของบริษัทอีกด้วย เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาหุ้นบริษัทปรับตัวขึ้น 3% และมีราคาปิดอยู่ที่ $144.88