รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

หุ้นของใครน่าซื้อกว่ากันระหว่างแอปเปิลกับไมโครซอฟท์?

โดยInvesting.com
ผู้เขียนHaris Anwar
เผยแพร่ 31/03/2563 17:29
อัพเดท 02/09/2563 13:05

การมาของไวรัสโคโรนาชะลอทุกอย่างที่เป็นกิจกรรมของมนุษยชาติหมดสิ้นไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง การทำงาน การค้าขาย การทำธุรกิจ ฯลฯ แม้แต่บริษัทใหญ่ที่เมื่อปีที่แล้วเคยมีผลงานอันยอดเยี่ยมต่างก็ได้รับผลกระทบด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

ตอนนี้มนุษย์เราเริ่มชินแล้วกับการการมาของวิกฤตครั้งนี้ แม้เราจะภาวนาและพยายามให้สถานการณ์จบลงโดยเร็วเพื่อที่ทุกอย่างจะได้กลับไปเป็นปกติแต่ดูเหมือนว่าไวรัสโคโรนาจะยังไม่ยอมรามือง่ายๆ เพราะตอนนี้มันได้เข้าสู่ดินแดนของสหรัฐอเมริกาและทำให้ประเทศนี้กลายเป็นศูนย์กลางการแพร่กระจายโลกแห่งใหม่แซงหน้าประเทศจีนก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งของโลกเรียบร้อย

บางคนบอกว่านี่คือโอกาสและนักลงทุนบางส่วนก็คิดเช่นนั้น หากว่าปีที่แล้วมีหุ้นที่คุณสนใจแต่ไม่กล้าเข้าซื้อเพราะราคายังอยู่ในระดับที่สูงเกินไป ตอนนี้โอกาสนั้นมาถึงแล้วเพราะทุกคนต่างก็ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่เว้นแม้แต่ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) และไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) นี่คือสองบริษัทที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดในโลก

เราอยากแนะนำให้นักลงทุนจับตาดูความเคลื่อนไหวของสองบริษัทเอาไว้ ดังนั้นในบทความนี้เราจึงถือโอกาสนำเสนอภาพรวมของแอปเปิลและไมโครซอฟท์ในช่วงเวลานี้ให้ผู้อ่านได้ทราบข้อมูลกัน

ข้อดีของ Apple (AAPL)

หุ้นของบริษัทผู้ผลิตมือถือชื่อดังอย่างไอโฟน (iPhone) ถือเป็นหนึ่งใน 30 บริษัทสำคัญที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้กับดัชนีดาวโจนส์ ในช่วงที่วิกฤตโคโรนาเข้ามากระทบตลาด หุ้นแอปเปิลร่วงลง 35% จากจุดสูงสุดที่ $327.85 ในวันที่ 29 มกราคมสู่จุดต่ำสุดในวันที่ 23 มีนาคม

จากมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจของทางภาครัฐและนักลงทุนเริ่มได้สติอยู่กับไวรัสโคโรนาได้มากขึ้นทำให้ตลาดหุ้นเริ่มสามารถดีดตัวกลับขึ้นมาได้ หุ้นแอปเปิ้ลก็เช่นเดียวกันเพราะราคาสามารถดีดตัวกลับขึ้นมา 20% โดยล่าสุดเมื่อวานนี้มีราคาปิดอยู่ที่ $254.81 ปรับตัวขึ้นอีก 2.8%

Apple Weekly Price Chart

สาเหตุที่หุ้นแอปเปิลร่วงลงท่ามกลางวิกฤตไวรัสโคโรนาเป็นเพราะฐานกำลังการผลิตของบริษัทที่อยู่ในประเทศจีนซึ่งทำรายได้ให้บริษัท 20% ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้สายพานการผลิตมือถือไอโฟนต้องสะดุดลง ล่าสุดงานเปิดตัวไอโฟนรุ่นประหยัด (ที่คาดการณ์กันว่าจะเป็น iPhone 9 หรือ SE2) ก็ต้องเลื่อนออกไปจากเดือนมีนาคม

ไวรัสโคโรนาสร้างความท้าทายครั้งใหม่ให้กับบริษัทแอปเปิลเป็นอย่างมาก วิกฤตครั้งนี้ทำให้บริษัทได้เห็นจุดอ่อนการผลิตตัวเองที่อยู่ในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ แม้ว่าตอนนี้สาขาแอปเปิลในประเทศจีนจะกลับมาเปิดทำการได้บ้างแล้วแต่สาขาอื่นๆ ทั่วโลกนอกประเทศจีนยังคงระงับให้บริการชั่วคราว ยกตัวอย่างเช่นสาขาของแอปเปิลในสหรัฐฯ บางแห่งก็จำเป็นต้องหยุดให้บริการและเปลี่ยนมาค้าขายแบบออนไลน์แทนอย่างน้อยก็จนกว่าสิ้นเดือนเมษายน

นักวิเคราะห์บางส่วนเริ่มเป็นกังวลว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะส่งผลกระทบไปถึงการเปิดตัวมือถือไอโฟน 12 ช่วงเดือนกันยายนนี้ สาเหตุที่การเปิดตัวไอโฟนครั้งนี้สำคัญกว่าครั้งไหนๆ เพราะหลายๆ คนเชื่อว่าไอโฟน 12 นี้จะมาพร้อมกับเทคโนโลยี 5G 

ปัญหาเหล่านี้เป็นเพียงความท้าทายหรือสิ่งที่จะกระทบต่อผลกำไรของบริษัทในระยะสั้นเท่านั้นซึ่งเราคาดว่าน่าจะไม่เกินไตรมาสที่ 2 สิ่งที่ทำให้แอปเปิลยังสามารถดึงดูดลูกค้าของพวกเขาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นและทำให้หุ้นแอปเปิลยังคงเป็นที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนคือคุณภาพ นวัตกรรมและระบบนิเวศน์ของอุปกรณ์แอปเปิลที่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว

นายอามิด ดายันรานี่ นักวิเคราะห์จาก Evercore ISI กล่าวว่า “นี่ละคือสถานการณ์ที่เรียกว่าโอกาสในวิกฤตของแท้ แอปเปิลถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก แม้ว่าทุกๆ ปีพวกเขาจะถูกบูลลี่จากผู้คนหรือผู้ผลิตยี่ห้ออื่นแต่คุณลองดูสิไม่ว่าหันไปทางไหนก็ยังมีแต่คนใช้ไอโฟน ยิ่งไปกว่านั้นอย่าลืมว่าแอปเปิลยังมีเงินอีกราวๆ $20,700 ล้านเหรียญอยู่ในมือ การขาดทุนในช่วงนี้ไม่ได้ทำให้บริษัทแอปเปิลสามารถย่อยยับลงได้หรอก”

ข้อดีของ Microsoft (MSFT)

ไมโครซอฟท์ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สามารถเอาตัวรอดได้ดีท่ามกลางมรสุมไวรัสโคโรนา พวกเขายังคงได้ประโยชน์จากการที่คนต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานไปทำอยู่บ้านมากยิ่งขึ้น เหตุผลหลักๆ ที่เราเชียร์หุ้นไมโครซอฟท์คือพวกเขายังเป็นธุรกิจที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้ความสนับสนุนในเรื่องของการพัฒนาระบบคลาวด์ซึ่งเป็นสิ่งที่ไมโครซอฟท์ให้ความสำคัญมาตลอดในช่วงหลายปีให้หลังMicrosoft Weekly Price Chart

บริษัทไมโครซอฟท์ได้โพสต์ลงบล็อกของบริษัทเมื่อวันอาทิตย์ที่่ผ่านมาว่า “พวกเราพบว่ามีการใช้งานบริการคลาวด์ของเริ่มเพิ่มขึ้นมากถึง 775% ในช่วงที่ทุกคนต้องทำการเว้นระยะห่างระหว่างกันหรือจำเป็นต้องทำงานอยู่แต่ในบ้านของตนเอง”

แอปพลิเคชัน “ไมโครซอฟท์ ทีม (Microsoft Team)” ที่ผู้ใช้งานสามารถทำวิดีโอคอลและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมีผู้ใช้งานมากถึง 12 ล้านคนต่อวันในระยะเวลา 1 สัปดาห์ รวมแล้วมีผู้ใช้งานมากถึง 44 ล้านคน เมื่อวานนี้ไมโครซอฟท์พึ่งจะเปิดตัวชุดผลิตภัณฑ์ใหม่ “Microsoft 365” ซึ่งครั้งนี้พวกเขาได้รวมเอาไมโครซอฟท์ ทีมลงไปอยู่ในชุดแพคเกจนี้ด้วย

ไมโครซอฟท์กล่าวว่า “ผู้คนยังคงต้องการใช้แอปสไกป์ (Skype) ซึ่งเราทราบได้จากตัวเลขผู้ใช้งานต่อวัน 40 ล้านคนและตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นมา 70% ภายในระยะเวลาเดือนเดียว”

ปัจจุบันหุ้นของไมโครซอฟท์สามารถดีดตัวกลับขึ้นมาอยู่ในแดนบวกได้แล้วโดยล่าสุดเมื่อวานนี้กราฟมีราคาปิดอยู่ที่ $160.23 ดีดตัวขึ้นมา 7% ที่สำคัญในปีที่แล้วหุ้นไมโครซอฟท์ยังได้รับตำแหน่งหุ้นที่สามารถปันผลกำไรคืนได้ดีที่สุดด้วยตัวเลขกลมๆ สวยๆ 60%

โดยสรุปแล้ว…

แอปเปิลและไมโครซอฟท์ต่างก็เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางเทคโนโลยีทั้งคู่ แม้ว่าไวรัสโคโรนาจะยังคงระบาดอยู่ในสหรัฐฯ แต่พวกเขาก็มีจุดเด่นที่แข็งแกร่งพอให้สามารถพาบริษัทรอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ แต่เราก็ยอมรับว่าหากเทียบกันแล้วตอนนี้แอปเปิลดูจะได้รับผลกระทบหนักกว่าเพราะฐานลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในประเทศจีน ดังนั้นตอนนี้หุ้นแอปเปิลจึงเหมาะกับการลงทุนระยะสั้นมากกว่า

ความคิดเห็นล่าสุด

วันที่39มกราคม ไม่มีครับ แก้ให้ด้วย
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย