หลังจากลงไปสร้างจุดต่ำสุดของราคาเมื่อวันที่ 23 มีนาคมหุ้นแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) สามารถดีดตัวกลับมาได้อย่างน่าประทับใจ หุ้นของบริษัทผู้ผลิตมือถือไอโฟน (iPhone) ทะยานขึ้นมากกว่า 50% จากจุดต่ำสุดนั้นและตลอดทั้งปี 2020 ถือว่าปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 10% มีราคาเทรดปัจจุบันอยู่ที่ $316.73 และกำลังดูเชิงอยู่ว่าจะสามารถเจาะแนวต้านของจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $327.20 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ปี 2020 ขึ้นไปได้หรือไม่ ทั้งหมดที่ผ่านมาคือสถานการณ์ดีๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 และในช่วงที่การเมืองระหว่างประเทศกำลังเข้มข้น
เพราะวิกฤตโควิด-19 สร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจไปทั่วโลก คำถามใหญ่ๆ ที่นักลงทุนมักจะถามกับสาวกแอปเปิลคือแนวโน้มขาขึ้นในตอนนี้จะยั่งยืนถาวรไปจนถึงการเปิดตัวไอโฟน 12 เดือนกันยายนหรือไม่และตอนนี้ใช่ช่วงเวลาที่ดีในการถือหุ้นแอปเปิลหรือเปล่า? บางทีอาจจะไม่นะ...เพราะอะไร?
ความเสี่ยงของบริษัทผู้ผลิตมือถือชื่อดังกำลังเพิ่มสูงขึ้น เอาเข้าจริงๆ แล้วตอนนี้สิ่งที่แอปเปิลเป็นกังวลมากกว่าโควิด-19 คือสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างสหรัฐฯ - จีน ยิ่งประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์พยายามหาทางเล่นงานบริษัทหัวเว่ยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสร้างความบาดหมางให้กับความสัมพันธ์ของทั้งสองชาติมากเท่านั้น เขากีดกันไม่ให้หัวเว่ยเข้าถึงตลาดตลาดซื้อขายสินค้าเทคโนโลยีและซัพพลายเออร์สหรัฐฯ ทุกทาง
นอกจากนั้นล่าสุดทรัมป์พึ่งต่ออายุคำสั่งฉุกเฉินห้ามหัวเว่ยและบริษัทเกี่ยวกับการสื่อสารของจีน ZTE Corp (HK:0763) ขายสินค้าในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 1 ปี ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้เพิ่มรายชื่อของบริษัทจีนที่ทางสหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้เข้าถึงเทคโนโลยีอเมริกันและสินค้าอื่นๆ ซึงรวมไปถึงบริษัทสัญชาติจีน 24 แห่งและมหาวิทยาลัยด้วย ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ - จีนแย่ลงเรื่อยๆ ยิ่งทรัมป์ค่อนข้างเน้นในการกล่าวหาว่าจีนคือผู้ที่จงใจแพร่เชื้อโควิด-19 มายังสหรัฐฯ คร่าชีวิตของประชาชนชาวอเมริกันเกินแสนคนเพื่อทำลายการเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของเขา
ความไม่แน่นอนทางการเมืองปกคลุมไปทั่ว
นายหู สีจิน บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ The Global Times ของจีน ออกมาทวีตเตือนสหรัฐฯ ว่าบริษัทสัญชาติอเมริกันอย่างเช่นแอปเปิล ควาว์คอม (NASDAQ:QCOM) และซิสโก (NASDAQ:CSCO) อาจได้รับผลกระทบทางการเมืองและจีนจะหยุดการสั่งซื้อเครื่องบินจากบริษัทโบอิ้ง (NYSE:BA)
รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของจีนนาย หวาง อี้ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า “เป็นสหรัฐฯ เองที่กำลังจะผลักให้โลกเข้าสู่สงครามเย็นครั้งใหม่” เมื่อนักการเมืองอเมริกันออกมาประนามปักกิ่งกับท่าทีล่าสุดเกี่ยวกับกฎหมายความมั่นคงใหม่ที่จะบังคับใช้กับฮ่องกง
เพราะความจำเป็นในการลดต้นทุนและมีเครือข่ายซัพพลายเออร์ใหญ่ๆ อยู่ในจีนจึงทำให้หลายปีที่ผ่านมาแอปเปิลเลือกตั้งโรงงานผลิตสินค้าของตนเองอยู่ในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่และกระจายบางส่วนไปยังพื้นที่อื่นๆ ในทวีปเอเชีย บริษัทแอปเปิลมีการจ้างงานพนักงานมากถึง 2 ล้านคนในส่วนของซัพพลายเชนซึ่งรวมไปถึงการพัฒนาแอปพลิเคชัน สรุปได้ว่าแอปเปิลผลิตมือถือในจีนและส่งกลับมาขายยังสหรัฐอเมริกา
จากความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างสองประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นนักวิเคราะห์บางคนจึงสงสัยว่าแอปเปิลจะสามารถฟื้นตัวกลับมาจากพิษโควิดพร้อมทั้งเอาตัวรอดจากวิกฤตการเมืองระดับโลกครั้งนี้อย่างไร
ล่าสุดธนาคารสำหรับการลงทุนชื่อดังโกลด์แมน แซคส์ได้ลดระดับความน่าซื้อของหุ้นแอปเปิลลงมาอยู่ในระดับ “ปกติ” แล้วโดยให้เหตุผลว่าเมื่อความไม่แน่นอนอย่างโควิด-19 เข้ามาทำให้คนลดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยลงและเลือกที่จะใช้มือถือเครื่องเดิมที่อยู่ให้นานขึ้นซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ความต้องการครอบครองมือถือไอโฟนรุ่นใหม่ลดลง เมื่อคนถือไอโฟนน้อยลงก็จะกระทบต่ออัตราการเติบโตบริการอื่นๆ ของแอปเปิลด้วย
นักวิเคราะห์นามร๊อด ฮอลล์กล่าวว่าเขาเป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 ที่อาจส่งผลให้การเปิดตัวไอโฟนรุ่นที่คาดว่าจะสามารถใช้เทคโนโลยี 5G ได้ต้องล่าช้าออกไปซึ่งใครๆ ก็รู้ว่าไอโฟนคือความหวังเดียวของแอปเปิลกับอัตราการเติบโตของบริษัท “เพราะการเดินทางที่ถูกจำกัดในช่วงเวลาสำคัญของแอปเปิลในปี 2020 อาจทำให้ขั้นตอนสุดท้ายในการทำเครื่องไอโฟนให้สมบูรณ์ต้องเลื่อนออกไปและอาจเป็นสาเหตุให้งานเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ต้องเลื่อนออกไปด้วย”
ที่น่าสนใจคือในการประกาศตัวเลขผลประกอบการไตรมาสที่ 1 เมื่อเดือนที่แล้วของแอปเปิลไม่ได้ประกาศตัวเลขคาดการณ์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีเลยที่แอปเปิลไม่พูดถึงเรื่องนี้
โดยสรุปแล้ว
สถานการณ์ในสัปดาห์นี้ถือเป็นสถานการณ์ที่ล่อแหลมสำหรับขาขึ้นอย่างมั่นคงของบริษัทแอปเปิลเป็นอย่างมากเมื่อนักลงทุนเริ่มพูดถึงความเป็นไปได้และความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นกับความสัมพันธ์สหรัฐฯ - จีนที่จะส่งผลกระทบถึงบริษัทแอปเปิลด้วย หุ้นแอปเปิลยังไม่กล้าเสี่ยงที่จะทำจุดสูงสุดใหม่ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสองประเทศและอาจจะเป็นปัญหาในระยะยาวหากเราต้องเข้าสู่สงครามเย็นรอบที่ 2 ขึ้นมาจริงๆ