คาดกำไร 2Q63 ทำ New high และต่อเนื่องใน 3Q63 ใน 2Q63 กำลังการผลิตใหม่เข้ามาเต็มไตรมาสพร้อมกับราคาขายต่อชิ้น (ASP) ที่เพิ่มขึ้นราว 15 – 20% QoQ พร้อมกับอัตราการใช้กำลังการผลิตเต็มกำลังการผลิตที่ 95% ของกำลังการผลิตที่ใช้ได้จริง (Technical capacity) หนุนทั้งรายได้และอัตรากำไร ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการ IPO จะกระทบกำไรสะสมไม่ กระทบงบกำไรขาดทุน
ขณะที่ค่าใช้จ่าย SG&A ยังทรงตัว เพราะค่าใช้จ่ายทางการตลาดจะไม่แปรตามยอดขาย เนื่องจากเป็นสินค้าที่ลูกค้าวิ่งหาผู้ขายจึงไม่จำเป็นต้องทำการตลาด หรือให้ค่าคอมมิชชั่นกับ Dealer เพิ่มขึ้น และค่าคอมมิชชั่นจ่ายเป็นต่อจำนวนลัง (Carton) กำรขึ้นราคาขายจึงไม่มีผลให้ค่าคอมมิชชั่นสูงขึ้นตามไปด้วย เราคาดกำไรปกติ 2Q63 ที่ 900 ลบ. เติบโต 113% QoQ และทำระดับสูงสุดใหม่ และมีแนวโน้มทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่องใน 3Q63 คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% QoQ เป็น 1,300 – 1,500 ลบ. และทรงตัว QoQ ใน 4Q63 เนื่องจากบริษัทใช้การถัวเฉลี่ยราคาขายของ 3Q63 และ 4Q63 มาจำหน่ายในราคาเดียวกันในช่วง 3Q63 – 4Q63 นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าเป็นอีกแรง หนุนผลประกอบการ
Top glove ถกูสหรัฐฯ Ban ส้มหล่นต่อราคาขาย ปรับประมาณการขนึ้ 50 – 70% วำนนี้ Top glove ผู้ผลิตถุงมือยางทางการแพทย์รายใหญ่ที่สุดของมาเลเซียและของโลกขึ้น Halt ที่ตลาดหลักทรัพย์มาเลเซียหลังทางการสหรัฐฯอาจห้ามการนำเข้าถุงมือยางจาก Top glove ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่า เฉพาะบริษัทย่อยหรือทั้งกลุ่ม ซึ่งยอดขาย ณ 1H63 ของ Top glove มีปริมาณขายจากทวีปอเมริกาเหนือ มากที่สุดที่ 26% หรือประมำณ 20,000 ล้านชิ้น/ปี เทียบกับกำลังการผลิตที่ใช้ได้จริงของ (BK:STGT)ทั้งหมดที่ เพียงราว 30,000 ล้านชิ้นต่อปีถือว่าสูงมาก หาก Top glove ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐฯได้ จะมีผลต่อ Supply ในสหรัฐฯ อย่ำงมากและจะเป็นบวกต่อผู้ประกอบการรายอื่นเพราะจะทำให้ถุงมือยางที่ส่งออกไป สหรัฐฯมีราคาปรับตัวขึ้น เรามีการปรับสมมติฐานราคาขายต่อชิ้น (ASP) ในปี 2563 ขึ้น 19% เป็น 0.90 บาท/ชิ้น และปี 2564 ปรับขึ้น 39% เป็น 1.26 บาท/ชิ้น และใช้สมมติฐานที่ 0.90 บาท/ชิ้นในปี 2565 เป็นต้นไป ซึ่งยังไม่รวมผลของ ASP ในสหรัฐฯที่อาจเพิ่มขึ้นได้
อย่างไรก็ตามเราคาดว่าการยกระดับด้าน สุขอนามัยในอุตสาหกรรมอาหาร ร้านอาหาร และโรงแรม จะทำให้อุปสงค์ในตลาดยังสูง มีโอกาสที่ ASP จะทรงตัวที่ 1.00 – 1.20 บาทได้ในระยะยาวแม้ว่า COVID-19 จะมีวัคซีนป้องกันแล้วก็ตาม การปรับสมมิตฐานขึ้น (Figure 1) ทำให้กำไรปกติปี 2563 ปรับขึ้นจากเดิม 51% เป็น 4,215 ลบ. (+626% YoY) และ กำไรปกติปี 2564 ปรับเพิ่มขึ้น 70% เป็น 6,283 ลบ. (+49% YoY)
ปรับใช้ราคาเป้าหมายปี2564 คงคำแนะนำ ซื้อทั้งแม่และลูก ผลของการปรับประมำณการกำไรขึ้นส่งผลให้ EPS ปี 2563 – 2564 เพิ่มขึ้นเป็น 2.95 บาท และ 4.39 บาท ตามลกำดับ และปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2564 โดยอิง PER ที่ 25 เท่า ได้ราคาเป้ำหมายใหม่ที่ 110.00 บาท คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาปิดวานนี้เทียบเท่า PER63 – 64 ที่ 27.5 เท่า และ 18.5 เท่า ตามลำดับ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของผู้ประกอบการในมาเลเซีย 4 รายใหญ่ที่ 42.6 เท่า นอกจากนี้ที่ราคาเป้าหมาย 110.00 บาท มีนัยยะต่อมูลค่า NAV ใน (BK:STA) สูงถึง43 บำท ในปี 2564 (ใช้สมมติฐาน Discount ที่ 30%) ซึ่งยัง ไม่รวมราคาเหมาะสมในส่วนของธุรกิจยางธรรมชาติของ STA เองที่ Consensus ให้ไว้ที่ 8.00 – 10.00 บาท จึงยัง Undervalue อยู่มาก
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities