SET: คาด SET Index แกว่งตัว Sideways ในวันนี้ โดยถึงแม้จะมี Sentiment เชิงลบจากการรายงานตัวเลข GDP ของสหรัฐฯที่หดตัวเมื่อคืนนี้แต่เรามองว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ได้เหนือความคาดหมายของตลาดแต่อย่างใด แถมยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อยด้วยซ้ำ นอกจากนั้น ภายหลังจากตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดไปแล้วเมื่อคืนนี้ บริษัทในกลุ่ม Tech ต่างรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง จนทำให้ดัชนี Dow Jones futures ปรับตัวสูงขึ้นจนมาถึงช่วงเช้าวันนี้ มองเป็นปัจจัยประคับประคองบรรยากาศการลงทุนในวันนี้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ยังคงคาดการณ์การปรับตัว Outperform ของหุ้นขนาดกลาง-เล็กต่อไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับแรงกดดันน้อยจากการลดพอร์ตของนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์ จึงยังคงแนะนำ Selective hold ไปยังหุ้นกลุ่มนี้ต่อไปซึ่งได้แก่ กลุ่มบริหารหนี้ กลุ่มอาหารและเกษตร กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มปั๊มน้ำมัน กลุ่มแพคเกจจิ้ง และกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์ Brokerage: จากรายงานผลการดำเนินงานของหุ้น MBKETเมื่อวานนี้ ถือเป็นการยืนยันมุมมองของเราที่ว่าหุ้นกลุ่มธุรกิจหลักทรัพย์จะเป็นกลุ่มหนึ่งที่ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/63 ออกมาอย่างแข็งแกร่ง โดยหากดูในรายละเอียดจะพบว่ารายได้ค่านายหน้ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ จากมูลค่าการซื้อขายของตลาดฯที่สูงขึ้นในเชิงกลยุทธ์ ยังคงมองว่าหุ้นกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่น่าสนใจสำหรับการ “ซื้อเก็งกำไร” โดยนอกเหนือจาก MBKETแล้วยังคงมองไปอีก 2 ตัวที่เหลือเช่น ASPและ KGIซึ่งเป็นบริษัทที่สามารถ Gain market share ได้ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา KBANK (BK:KBANK): มองเป็นสัญญาณเชิงลบในมิติของสภาพคล่อง จากการประกาศจำหน่ายหุ้นซื้อคืนในตลาด ระหว่างวันที่ 31 ส.ค. 63 – 16 ก.ย. 63 โดนในเชิงพื้นฐานยังคงแนะนำเพียง “ถือ” ทั้งนี้ มองมติดังกล่าวส่วนหนึ่งเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของ ธปท.ที่ให้ธนาคารพาณิชย์จัดทำแผนบริหารจัดการระดับเงินกองทุนระยะ 1-3 ปีข้างหน้า และขอให้ธนาคารพาณิชย์งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของปี 63 รวมถึงงดการซื้อหุ้นคืน เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์รักษาความแข็งแกร่งของเงินกองทุนเอาไว้ ประเมินการขายหุ้นซื้อคืนที่ระดับราคาปัจจุบันหรือต่ำกว่าจะส่งผลกระทบทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงราว 1-2 พันล้านบาท (0.02%-0.04% ของส่วนของผู้ถือหุ้น ณ 2Q63) SFLEX: ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ในเชิงพื้นฐานที่ราคาเป้าหมาย 15.00-15.50 บาท ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงแตะระดับ Floor เมื่อวานนี้แต่ไม่ได้มีพัฒนาการในเชิงลบแต่อย่างใด โดยเรายังคงประมาณการกำไรไตรมาส 2/63 ที่ระดับ 31 ล้านบาท (-9.9%QoQ, +387.8%YoY) เติบโตสูงจากการขยายฐานรายได้จากลูกค้ารายเดิมและรายใหม่ รวมถึงเน้นการเพิ่ม GPM จากการเลือกผลิตสินค้า คาดกำไรสุทธิปี 2563 เท่ากับ 147 ล้านบาท (+87.3%YoY) และยังคงคาดการเติบโต CAGR ปี 2562-2565 ราว 50% บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities |