ยอมรับว่าที่ผ่านมาตั้งแต่จุดต่ำสุดเดือนมีนาคมเราไม่เคยสบายใจที่ได้พูดถึงขาขึ้นในตลาดหุ้นเลย ตั้งแต่เดือนเมษายนดัชนีหลักๆ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างก็เข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นระยะสั้น (ในตอนนั้น) และลากยาวมาจนถึงปัจจุบันอย่างที่กราฟดัชนีดาวโจนส์ในรูปปรากฎให้เห็น 
จะให้เราวางใจกับขาขึ้นในปัจจุบันได้อย่างไรเมื่อ….
นี่คือภัยโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 100 ปี...
นี่คือภัยพิบัติทางเศรษฐกิจที่เร่งให้หนี้ท่วมโลกเร็วขึ้น...
นี่คือภัยที่ทำให้ตลาดหุ้นสามารถสร้างสถิติขาลงที่เร็วและรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุคภัยพิบัติทางเศรษฐกิจใหญ่ในปี 1930...
และสุดท้าย...เมื่อเปิดดูกรราฟดัชนีดาวโจนส์ในกรอบเวลารายเดือนแล้วพบว่านี่คือกราฟที่กำลังวิ่งในรูปแบบไซด์เวย์ซึ่งเป็นสามเหลี่ยมปากอ้า
หากพิจารณารูปแบบการวิ่งไซด์เวย์ให้ดีจะพบว่าการวิ่งของราคาสร้างจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิมและสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดสูงสุดเดิมกว้างขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2018 เท่ากับว่าไซด์เวย์นี้เกิดขึ้นมาแล้ว 3 ปีติดต่อกัน ตามตำรากล่าวเอาไว้ว่าการวิ่งแบบสามเหลี่ยมปากอ้าหมายถึงสถานะที่ตลาดลงทุนเสียแนวโน้มหลักไปและกำลังจะเปลี่ยนเทรนด์ซึ่งมักพบเห็นได้ ณ จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น
อย่างไรก็ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นมักจะไม่ตรงตามตำราเสมอไป จากรูปจะเห็นว่าก่อนหน้านี้มีสามเหลี่ยมปากอ้าเคยเกิดขึ้นแล้วกับดัชนีดาวโจนส์ตั้งแต่ปี 2000 ก่อนที่จะมาถูกเจาะทะลุขึ้นได้ในปี 2014 แต่ในสภาพเศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอนเช่นนี้ที่เกิดจากการอัดเงินเพิ่มเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ การปรับอัตราดอกเบี้ยให้ลงมาอยู่ในระดับเกือบเป็น 0% เพื่อให้คนหันมาใช้เงินเพื่อกู้ยืมมากขึ้น ยิ่งความสามารถในการกู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคนนำเงินไปลงทุนกับตลาดหุ้นมากเท่านั้นซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่ความเป็นจริงตามกลไกทางเศรษฐกิจเลย
ดังนั้นแม้เราจะไม่สบายใจกับขาขึ้นครั้งนี้เพียงใดแต่ในฐานะนักวิเคราะห์การตัดอารมณ์ออกไปจากการวิเคราะห์ถือเป็นหัวใจสำคัญยิ่ง เราจำเป็นต้องยอมรับความเป็นจริงว่าดัชนี S&P 500 ได้เข้าสู่ขาขึ้นระยะยาวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพร้อมด้วยดัชนี NASDAQ และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดดัชนีดาวโจนส์ก็น่าจะตามดัชนีทั้งสองขึ้นไปภายในสัปดาห์นี้ ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งสหรัฐฯ เข้ามามากเท่าไหร่เรายิ่งเชื่อว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาขาขึ้นครั้งนี้ไปให้ได้จนถึงช่วงเวลาแห่งการเลือกตั้งในไตรมาสที่ 4
ล่าสุดทรัมป์พึ่งประกาศข่าวดีในการสู้ไวรัสโควิดด้วยการอนุมัติให้ใช้พลาสมาจากผู้ที่หายป่วยจากโควิด-19 มาใช้รักษาผู้ป่วยใหม่และกดดันให้บริษัทผู้ผลิตยาต้านโควิดต้องทำราคาให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ให้ได้ ในขณะเดียวกันเขาก็ต่อสู้กับการรุกคืบเข้ามาของบริษัทจีนอย่างไม่ลดละและยังคงหาวิธีสกัดกั้นจีนไม่ให้เป็นใหญ่ด้วยทุกวิธีการ จากเหตุผลที่กล่าวมาจึงทำให้เราเชื่อว่ามีโอกาสที่ดัชนีดาวโจนส์จะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกในสัปดาห์นี้
ในปัจจุบันการมีราคาปิดเหนือเส้นเทรนด์ไลน์ของดัชนีดาวโจนส์ตั้งแต่ศุกร์ที่แล้วส่งสัญญาณว่าขาขึ้นหลังจากคลื่นลูกเก่าก่อนหน้านี้ที่ออกไปก่อนเพื่อทำกำไรได้กลับมาแล้ว การทะลุเทรนด์ไลน์ดังกล่าวขึ้นไปได้แสดงให้เห็นว่าขาขึ้นได้พักตัวนานพอจนหายเหนื่อยและพร้อมที่จะกลับมาดัชดาวโจนส์ให้กลับขึ้นไปต่อได้อีกครั้ง ที่สำคัญการทะลุจุดสูงสุดล่าสุดขึ้นไปได้จะยิ่งเป็นการเรียกนักลงทุนให้หันมาสนใจดัชนีดาวโจนส์มากขึ้น หลังจากนั้นตลาดกระทิงจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองโดยอาจจะตั้งเป้าหมายของขาขึ้นรอบใหม่ให้สูงเท่ากับขาขึ้นรอบหน้าก็เป็นได้
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่าช่องว่างระหว่างราคา (gap) ในขาลงถูกปิดหรือไม่กราฟก็ต้องสร้างจุดสูงสุดใหม่ให้ได้ก่อนที่จะตัดสินใจวางคำสั่งซื้อขาย
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะลองเสี่ยงวางคำสั่งซื้อหลังจากที่ราคาสามารถมีจุดปิดที่สูงเกินกว่า 28,155 จุด
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะวางคำสั่งซื้อโดยทันทีแต่การเข้าซื้อต้องมีแผนการเงินที่ดีรองรับด้วย
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: 28,000
- Stop-Loss: 27,800
- ความเสี่ยง: 200 จุด
- เป้าหมายในการทำกำไร:30,000
- ผลตอบแทน: 2,000 จุด
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:10