ภาพรวมตลาดประจำสัปดาห์:ตลาดหุ้นและทองคำกอดคอพากันขึ้นส่วนดอลลาร์อ่อนค่าลง
- ตลาดหุ้นอาจขึ้นต่อหลังเฟดสัญญาคงอัตราดอกเบี้ยต่ำนานและมีกลยุทธ์ปรับอัตราเงินเฟ้อใหม่
- ดอลลาร์ร่วงลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 2 ปีอีกครั้ง
- ทองคำจัดทัพเตรียมทดสอบจุดสูงสุดเดิมอีกครั้งส่วนบิทคอยน์ยังต้องรอดูสถานการณ์
หลังจากแถลงการณ์ของประธานกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ณ เมืองแจ็กสัน โฮลเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วแนวโน้มของราคาในแต่ละตลาดดูจะมีความชัดเจนขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดสัปดาห์ด้วยจุดสูงสุดใหม่อีกรอบขานรับข่าวดีที่เฟดจะเปลี่ยนกลยุทธ์อนุญาตให้เงินเฟ้อสูงกว่าระดับปกติได้เป็นครั้งคราวในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนมูลค่าลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 2 ปีอีกครั้ง
นับตั้งแต่ปัญหาเงินเฟ้อของประเทศในปี 1970 และ 1980 เป็นต้นมาเฟดก็ไม่เคยอนุญาตให้อัตราเงินเฟ้อขึ้นไปไกลกว่า 2% ได้อีกเลยซึ่งแถงการณ์ของนายเจอโรม พาวเวลล์ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1980 ที่อนุญาตให้อัตราดอกเบี้ยสามารถขึ้นเกิน 2% ได้บ้าง ส่วนอัตราดอกเบี้ยก็เป็นไปตามคาดของนักลงทุนที่มองว่าเฟดจะคงเอาไว้ที่เกือบแตะ 0% ไปอีกนาน
สาเหตุหลักที่เฟดตัดสินใจทำเช่นนี้เพราะต้องการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนในประเทศให้มีมากขึ้น นี่คือสาเหตุว่าทำไมเดือนสิงหาคมที่กำลังจะผ่านไปจะกลายเป็นเดือนสิงหาคมที่มีสถิติดีที่สุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในรอบ 34 ปี ส่วนสัปดาห์แรกแห่งเดือนกันยายนที่พึ่งมาถึงนี้เราเชื่อว่าแรงขาขึ้นที่ส่งมาจากเดือนสิงหาคมจะยังอยู่
ตลาดหุ้นขึ้น เศรษฐกิจกลับมาแต่การการจ้างงานยังไม่ดีเท่าที่ควร
ดัชนี NASDAQ ยังคงได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีใหญ่ๆ สร้างจุดปิดสูงขึ้นอีกเมื่อวันศุกร์ที่แล้วเช่นเดียวกันกับดัชนี S&P 500 ที่สามารถทำสถิติสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกันและดัชนีดาวโจนส์ที่ถึงแม้จะยังไม่สามารถขึ้นสูงกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลได้แต่ก็อยู่ห่างจากจุดสูงสุดนั้นเพียง 3.1% เท่านั้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนบางส่วนยังเป็นกังวลกับแถลงการณ์ของเฟดที่แจ็กสัน โฮล เพราะการที่เฟดต้องตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์อัตราเงินเฟ้อและปล่อยอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ใกล้กับระดับ 0% หมายความว่าเฟดยังเป็นกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งๆ ที่ก็เห็นทุกวันว่าตลาดหุ้นและตัวเลขเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวต่อเนื่องอยู่เรื่อยๆ
โดยภาพรวมระยะสั้นถือว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาแล้วในช่วง 3 เดือนล่าสุดซึ่งสามารถตีความได้เศรษฐกิจประเทศได้หลุดขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของโรคระบาดโควิด-19 เรียบร้อย ธนาคารกลางแอตแลนต้าคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 จะเติบโตขึ้น 26% แม้อ่านดูแล้วเหมือนจะเป็นข่าวดีแต่เราต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้เรามีตัวเลข GDP ที่ถูกประเมินเอาไว้ว่ารายปีติดลบ 32% ซึ่งหากอ้างอิงข้อมูลจาดธนาคารแอตแลนต้าเท่ากับว่ามีการฟื้นตัวขึ้นมาเกินครึ่งของตัวเลข GDP ที่ลดลงไป อย่างไรก็ตามเมื่อลองเอาตัวเลข GDP ทั้งสองมาบวกลบกันจะพบว่า GDP ของประเทศยังติดลบอยู่ 5% ซึ่งตัวเลข GDP นี้ยังถือว่าต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดแต่ก็ฟื้นตัวได้มากกว่าที่เราคิดไว้เยอะ
ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ดูดีขึ้นทั้งตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยใหม่และตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยมือสองซึ่งตอนนี้ตัวเลขทั้งสองดีขึ้นกว่าตัวเลขก่อนช่วงโควิดเสียอีก ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็กำลังอยู่บนเส้นทางการฟื้นตัวด้วยเช่นกัน ตัวเลขยอดขายปลีกของเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นจากตัวเลขในเดือนมกราคม 1% ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมดีขึ้นแต่ยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม 8% แสดงให้เห็นถึงระดับอุปสงค์ที่ยังไม่กลับมาเต็มที่
อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีภาคแรงงานที่น่าเป็นห่วง อัตราการว่างงานยังอยู่สูง ชาวอเมริกันจำนวน 4 ล้านคนยังคงตกงาน ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกกลับมาขึ้นสูงเกิน 1 ล้านคนอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ที่ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นชั่วคราวเป็นเพราะบางธุรกิจที่กลับมาเปิดกิจการได้และสามารถจ้างพนักงานเดิมกลับมาอีกครั้งแต่ธุรกิจที่อยู่ในภาคบริการยังไม่สามารถกลับมาได้อย่างเต็มรูปแบบเนื่องจากข้อจำกัดในการใช้บริการมากมาย บางคนที่ตกงานไปแล้วก็ไม่สามารถกลับมามีงานทำได้เหมือนเดิม ข้อมูลตัวเลขคนว่างงานถาวรของเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์เป็นสองเท่าซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคภายในประเทศด้วย
บริษัทที่มีมูลค่าตลาดต่ำอาจได้โอกาสฉายแสงในปีหน้า
นอกจากดัชนีดาวโจนส์ที่กำลังตั้งฐานเพื่อมุ่งหน้าสู่ 30,000 จุดดัชนีรัสเซล 2000 ซึ่งรวมหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดเล็กก็กำลังเตรียมจะวิ่งขึ้นตามด้วยเช่นกัน ในขณะหุ้นของบริษัทดังๆ เริ่มมีราคาที่แพงเกินเอื้อมการหันมาลงทุนในบริษัทขนาดเล็กที่มีอนาคตจะกลายเป็นเทรนด์ของการลงทุนภายในประเทศที่ได้รับความนิยมไปจนถึงปี 2021
หากขาขึ้นตามที่คาดการณ์เกิดขึ้นจริงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตลาดแสดงให้เห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช่วยเกื้อหนุนกันมากกว่าที่จะแข่งขันกันและจะเป็นการลบคำสบประมาทของทางฝั่งยุโรปที่กำลังเชื่อว่าเศรษฐกิจในยูโรโซนกำลังจะกลับมายิ่งใหญ่แทนสหรัฐฯ ได้เพราะยูโรโซนมีการจัดการโรคระบาดได้ดีกว่า
วันศุกร์ที่แล้วแรงขาขึ้นสามารถพากราฟดัชนีรัสเซล 2000 ขึ้นทะลุกรอบรูปธงได้สำเร็จ ก่อนหน้าที่จะฟอร์มการพักตัวรูปธงรัสเซล 2000 ได้ปรับตัวขึ้นมา 8 แท่งติดต่อกันคิดเป็นขาขึ้น 10%
กราฟราคาพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีโดยภาพรวมแล้วดีขึ้นและน่าดึงดูดทันทีหลังจากการปรับกลยุทธ์ใหม่ของเฟดแม้ว่าก่อนปิดตลาดกราฟจะปรับตัวลดลงมาจนเกือบถึงครึ่งแท่งของขาขึ้นในวันพฤหัสบดี สัปดาห์นี้ต้องมาจับตาดูกันต่อว่ากราฟพันธบัตรฯ จะสามารถรักษาขาขึ้นระยะสั้นนี้เอาไว้ได้หรือไม่
สองปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนมูลค่าลง ประการแรกคือการยืนยันจากเฟดว่าอัตราดอกเบี้่ยจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกนานและประการที่สองคือหากว่าเฟดสามารถทำให้อัตราเงินเฟ้อขึ้นได้ตามเป้าจะยิ่งทำให้ดอลลาร์อ่อนมูลค่าลงมากกว่าเดิม
ก่อนหน้าที่จะกลับลงมาทดสอบจุดต่ำสุดล่าสุดอีกครั้ง ดัชนีดอลลาร์สหรัฐได้พยายามขึ้นมาก่อนแล้ว 2 ครั้งผ่านรูปแบบธงขาขึ้นและการสร้างธงสามเหลี่ยมแต่ก็ไม่มีแรงมากพอที่จะพาดัชนีวิ่งกลับขึ้นไป
เมื่อนักลงทุนมั่นใจว่าดอลลาร์จะยังอ่อนมูลค่าลงไปอีกนานส่งผลให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเฟดคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ในระดับต่ำนานเท่าไหร่ยิ่งทำให้คนอยากถือทองคำมากขึ้น
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเห็นว่าราคาทองคำลงมาดีดกับกรอบเทรนด์ไลน์ด้านล่างกลับขึ้นไป ที่สำคัญราคาปิดของแท่งเทียนแท่งล่าสุดมีราคาปิดเหนือเส้นเทรนด์ไลน์ขาลงระยะสั้นที่ลากมาตั้งแต่จุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม
หลังจากกราฟบิทคอยน์ปรับตัวลดลงมาจากเส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้นสีแดงที่ลากมาตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคมจะพบว่าราคาได้เจอแนวรับใหม่ที่ก่อนหน้านี้เคยทำหน้าที่เป็นแนวต้านมาก่อน (เส้นสีดำแนวนอนทึบ)
การที่กราฟบิทคอยน์ยังไม่สามารถหลุดเส้นแนวต้านที่กลายเป็นแนวรับลงไปได้นับเป็นอะไรที่สมเหตุสมผลดีแล้ว คงจะดูผิดธรรมชาติไปหากว่าสินทรัพย์สำรองทางเลือกอย่างบิทคอยน์วิ่งลงในขณะที่ดอลลาร์กำลังอ่อนค่าและทองคำกำลังทำท่าว่าสะสมแรงเพียงพอจะกลับเข้าสู่เกมขาขึ้นแล้วในสัปดาห์นี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องระวังคือกราฟได้สร้างรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) เสร็จแล้ว เหลือเพียงรอแค่ทะลุแนวรับนี้ลงไปเท่านั้น
สัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบผันผวนเพราะความเป็นกังวลของนักลงทุนที่มีต่อพายุเฮอริเคนลอราที่วิ่งผ่านโรงกลั่นน้ำมันซึ่งอยู่บริเวณอ่าวเม็กซิโก ข่าวดีก็คือพายุดังกล่าวเริ่มสงบลงแล้ว
ดูเหมือนว่าจุดปิดของแท่งเทียนเมื่อวันศุกร์จะเป็นการยืนยันแท่งเทียนรูปแบบดาวตก (Evening Star) ซึ่งเสริมแรงมาด้วยการเป็นโดจิ อย่างไรก็ตามแท่งเทียนยืนยันในวันพฤหัสบดีกลับไม่ได้มีแรงขาลงเทลงมามากนัก โดยรวมสถานการณ์ของราคาน้ำมันดิบยังคงต้องจับตาดูกันต่อไปเพราะราคาไม่ได้เลือกทิศทางที่ชัดเจนมาตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคมแล้วแต่ตราบใดที่ราคาน้ำมันยังสามารถยืนอยู่บนเส้นค่าเฉลี่ยทั้ง 3 ได้ให้พิจารณาว่ากราฟมีแนวโน้มขาขึ้นเป็นหลักเอาไว้ก่อน
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประจำสัปดาห์ (เวลาทั้งหมดคำนวณเป็น EDT)
วันอาทิตย์
21:00 (ประเทศจีน) ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 51.1 เป็น 51.2
วันจันทร์
21:45 (ประเทศจีน) ดัชนี PMI ภาคการผลิตจากมหาลัยไซซิน: คาดว่าจะลดลงจาก 52.8 เหลือ 52.7
วันอังคาร
00:30 (ออสเตรเลีย) ผลการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA): คาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 0.25%
03:55 (เยอรมัน) ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 53.0
03:55 (เยอรมัน) รายงานตัวเลขการว่างงาน: คาดว่าจะดีขึ้นจาก -18K เหลือ 1K
04:30 (สหราชอาณาจักร) ดัชนี PMI ภาคการผลิต: คาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 55.3
05:00 (ยูโรโซน) ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) คาดว่าจะลดลงจาก 0.4% เหลือ 0.2%
10:00 (สหรัฐฯ) ดัชนี PMI ภาคการผลิตโดย ISM: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 54.2 เป็น 54.5
21:30 (ออสเตรเลีย) รายงานตัวเลข GDP: คาดว่าในไตรมาสที่ 2 จะหดตัวมากขึ้นจาก -0.3% เป็น -6.05%
วันพุธ
08:15 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขคาดการณ์การจ้างงานนอกภาคการเกษตรจาก ADP: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 167K เป็น 900K
วันพฤหัสบดี
04:30 (สหราชอาณาจักร) ดัชนี PMI ภาคการบริการ: คาดว่าจะคงที่อยู่ที่ 60.1
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก: ตัวเลขครั้งล่าสุดกลับมาเป็น 1 ล้าน 6 พันคน
10:00 (สหราชอาณาจักร) แถลงการณ์จากผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษนายแอนดรูว์ ไบลีย์
10:00 (สหรัฐฯ) ดัชนี PMI ที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตโดย ISM: คาดว่าจะลดลงจาก 58.1 เป็น 57.0
21:30 (ออสเตรเลีย) ตัวเลขยอดขายปลีก: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 2.7% เป็น 3.3%
วันศุกร์
04:30 (สหราชอาณาจักร) ดัชนี PMI ภาคการก่อสร้าง: คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 58.1 เป็น 58.3
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร: คาดว่าจะลดลงจาก 1,763K เป็น 1,400K
08:30 (สหรัฐฯ) รายงานตัวเลขอัตราการว่างงาน คาดว่าจะลดลงจาก 10.2% เหลือ 9.8%
08:30 (แคนาดา) รายงานตัวเลขอัตราการจ้างงาน: คาดว่าจะลดลงจาก 418.5K เป็น 300.0K
10:00 (แคนาดา) ดัชนี PMI จาก IVEY: คาดว่าจะลดลงจาก 68.5 เป็น 57.5