แม้ว่าการทำนายว่าธุรกิจหรือสินทรัพย์ตัวไหนกำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่จะเป็นเรื่องยากแต่ลักษณะของการเกิดนั้นก็มีปัจจัยบ่งชี้หลายอย่างที่เหมือนๆ กัน สิ่งหนึ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันภาวะฟองสบู่ได้ดีที่สุดคือการที่นักลงทุนในตลาดกำลังเล็งซื้อ IPO ของบริษัทที่เขาว่าดีตามๆ กัน
ณ ตอนนี้สิ่งที่มาแรงมากที่สุดในโลกของการลงทุนคือราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีซึ่งเราสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบริษัทใดก็ตามที่ดำเนินธุรกิจโดยมีคำว่า “เทคโนโลยีคลาวด์” มักจะเป็นบริษัทที่ได้รับความสนใจในปี 2020 หนึ่งในบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการฐานข้อมูลและผู้สร้างซอฟต์แวร์เก็บข้อมูลไว้บนคลาวด์สโนวเฟลค (NYSE:SNOW) คือบริษัทที่มีราคา IPO สูงขึ้นเป็นสองเท่านับตั้งแต่วันแรกที่มีการเปิดการซื้อขาย สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า IPO ของบริษัทที่ตัวเลข 104% ตั้งแต่วันแรกส่งผลให้ IPO ของสโนวเฟลคสร้างสถิติเป็นอันดับสามของ IPO ที่มีมูลค่าเกิน $1,000 ล้านเหรียญสหรัฐนับตั้งแต่บริษัท Herc Holdings (NYSE:HRI) เคยทำเอาไว้ในปี 2006
ภายในวันเดียวกันนั้นเองบริษัท Jfrog (NASDAQ:FROG)ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ก็มีราคาหุ้นสูงขึ้น 47% จน IPO ของบริษัทมีตัวเลขมากถึง $509 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากสองบริษัทนี้ยังมีอีกหลายบริษัทที่นักลงทุนเอาความหวังไปฝากเอาไว้ผ่าน IPO โดยหวังว่าสักวันบริษัทเหล่านั้นจะสามารถก้าวขึ้นมาเทียบเท่าบริษัทซูม (NASDAQ:ZM) หรือแอมาซอน (NASDAQ:AMZN) ได้เช่นบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเทคโนโลยีไบโอชีวภาพ CureVac (NASDAQ:CVAC) ที่มี IPO สูงถึง 249% ตั้งแต่วันแรกที่เปิดทำการซื้อขาย บริษัท Bigcommerce (NASDAQ:BIGC) ผู้ทำเกี่ยวกับ SaaS ที่มี IPO อยู่ที่ 201% และบริษัท Berkeley Lights (NASDAQ:BLI) กับตัวเลข IPO 197%
ข้อมูลเชิงสถิติการทำ IPO จาก Renaissance Capital ระบุว่าในปีนี้มีสองปัจจัยที่ส่งผลให้การทำ IPO กลับมาเติบโตอีกครั้ง ประการแรกคือการลุ่มหลงในคำว่า “อัตราการเติบโต” ของนักลงทุนที่ไม่ว่ามองหาหุ้นตัวไหนก็จะต้องดูความสามารถในการเติบโตเป็นหลักและสองคือนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายลงมาอย่างมากจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ทำให้นักลงทุนไม่อยากฝากเงินไว้กับธนาคารแต่เลือกที่จะหาสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูงกว่า ค่าเฉลี่ยของ IPO ที่สามารถทำสถิติได้ตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัวอยู่ที่ 14% คิดเป็น 36% ตลอดทั้งปี
IPO เหล่านี้จะอยู่รอดได้นานแค่ไหนในระยะยาว?
สัจธรรมสองประการที่ประวัติศาสตร์การลงทุนเคยบอกเอาไว้เกี่ยวกับการลงทุนใน IPO ก็คือไม่มีใครสามารถตอบได้ว่า IPO นั้นๆ จะมีอายุอยู่ได้นานแค่ไหนและไม่มี IPO ตัวไหนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่วันแรกจะสามารถการันตีการอยู่รอดในระยะยาวของบริษัทนั้นๆ ได้
บทวิเคราะห์จากบลูมเบิร์กเผยว่านับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 หุ้นของบริษัทที่มี IPO สูงเกินกว่า 100% ตั้งแต่วันแรกของการซื้อขายส่วนใหญ่ไปไม่รอดตั้งแต่ช่วงสามเดือนแรก สำนักข่าว CNBC รายงานงานวิจัยของ Renaissance Research ว่าบริษัทที่มี IPO สูงกว่า 100% ตั้งแต่วันแรกของการซื้อขาย 11 บริษัทในปีนี้จะให้ผลตอบแทนติดลบ 1% ตั้งแต่วันแรกของการซื้อขายเลยทีเดียว
วัฐจักร IPO หากมองอีกด้านหนึ่งก็เหมือนกับการขายฝันเพื่อเอาเงินของนักลงทุนมาทำตามความฝันของเจ้าของบริษัท ในบางครั้งเจ้าของ IPO ผู้มีวิสัยทัศน์ไม่ได้มองความฝันของเขาบนพื้นฐานของความเป็นจริงซึ่งเป็นสาเหตุให้หลายบริษัทที่ดำเนินวงจรลักษณะนี้จึงไปไม่รอดตั้งแต่ช่วงแรกๆ บริษัทสโนวเฟลคแม้ว่าจะเป็นบริษัททีดี ดูแล้วมีอัตราการเติบโตที่น่าเชื่อถือมากแต่ก็อย่าลืมว่าบริษัทยังต้องใช้เงินในการดำเนินตามความฝันของบริษัทอยู่ มีข้อมูระบุว่าตอนนี้นักลงทุนผู้เชื่อในความฝันของสโนวเฟลคนำเงินไปทำทุนให้บริษัทจนทำให้บริษัทมีมูลค่าตลาดมากกว่า $70,000 ล้านเหรียญสหรัฐคิดเป็น 6 เท่านับตั้งแต่การเปิด IPO ในเดือนกุมภาพันธ์ หมายความการจัดการของบริษัทสโนวเฟลคตอนนี้มีแรงกดดันมหาศาลจากความหวังของนักลงทุนมาก
โดยสรุปแล้ว
การลงทุนใน IPO คือการพนันกับความสำเร็จในระยะสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทที่นำเสนอเก่งๆ จนดูเหมือนว่าไอเดียของพวกเขาหากเป็นจริงขึ้นมาได้โลกของเราจะต้องเปลี่ยนเป็นที่ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน นักลงทุนที่ดีต้องไม่ลงทุนอยู่ในโลกแห่งความฝันแต่พยายามตั้งคำถามกับความฝันเหล่านั้นให้มากๆ ไม่มีหุ้นตัวไหนที่สามารถอยู่ในขาขึ้นหรือเติบโตไปได้ตลอด นอกจากจะพิจารณาเรื่องความสามารถในการเติบโตเป็นหลักก็อย่าลืมพิจารณาเสถียรภาพและความเป็นไปได้บนโลกแห่งความจริงด้วย