รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะส่งผลอย่างไรกับตลาดน้ำมันดิบ

เผยแพร่ 28/09/2563 12:01
อัพเดท 09/07/2566 17:31

นโยบายทางการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกาคือสิ่งที่ส่งผลกระทบอุปสงค์และอุปทานของราคาน้ำมันดิบอย่างมหาศาล ก่อนที่ไวรัสโคโรนาจะระบาด สหรัฐฯ เคยเป็นประเทศที่ผลิตและใช้น้ำมันมากที่สุดในโลก ดังนั้นนโยบายต่างประเทศจึงมีผลกระทบต่อการผลิตและการซื้อขายน้ำมันกับต่างประเทศและด้วยสาเหตุนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักลงทุนต้องคอยจับตาดูสถานการณ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อราคาและการผลิตน้ำมัน การดีเบตระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบันนายโดนัลด์ ทรัมป์และผู้ท้าชิงอย่างโจ ไบเดนในวันที่ 29 กันยายนนี้จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญและจะมีผลต่อการเลือกตั้งในวันที่ 3 พฤศจิกายน

WTI Oil Futures Weekly Chart

หากทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีต่ออีกหนึ่งสมัย เราเชื่อว่านโยบายการจัดการด้านพลังงานของเขาน่าจะคงเดิมแต่ความน่าสนใจอยู่ที่หากว่าประธานาธิบดีเปลี่ยนคนขึ้นมาจะส่งผลอย่างไรกับราคาและการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ ต่อไปอย่างไรในอนาคต

นโยบายเกี่ยวกับพลังงานน้ำมันระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์และโจ ไบเดน

เริ่มกันที่นโยบายพลังงานของผู้ท้าชิงกันก่อน ในความเห็นของเรามองว่านโยบายเกี่ยวกับการใช้พลังงานของโจ ไบเดนยังดูไม่ชัดเจนนักว่าเขาเชียร์น้ำมันดิบมากแค่ไหน ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าจะไม่ต้องการให้มีการใช้พลังงานจากฟอสซิลอีกและหันไปใช้พลังงานสะอาดแทน แต่ก็เคยมีสัมภาษณ์ของเขาที่พูดว่าจะยังไม่ยกเลิกการขุดหินน้ำมัน

สิ่งที่ผู้ลงหาเสียงพูดในวันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่เขาจะทำหรือไม่ทำจริงๆ ก็ได้ในวันที่เขาได้มีเก้าอี้นั่งในทำเนียบขาว ยกตัวอย่างเช่นอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามาที่ได้ได้ชื่อว่าเป็นนักสิ่งแวดล้อมแต่อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกากลับเฟื่องฟู ก่อนที่การเลือกตั้งจะมาถึงฉัน (ผู้เขียน) สัญญาว่าจะเขียนบทความเกี่ยวกับความเป็นไปได้ว่ารัฐบาลของใครจะสามารถสร้างกำลังการผลิตและความต้องการน้ำมันได้มากกว่ากัน

หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานาธิบดีต่อในสมัยที่สอง นักลงทุนสามารถคาดเดาได้เลยว่านโยบายทางด้านพลังงานของเขาคงจะไม่ต่างไปจากตอนนี้ การคว่ำบาตรการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากอิหร่านและเวเนซูเอลาจะยังคงดำเนินต่อไปซึ่งไม่เหมือนกับไบเดนที่เชื่อว่าเขาจะจบความขัดแย้งนี้ได้ โจ ไบเดนเคยพูดเอาไว้ว่ารัฐบาลของเขาจะมีนโยบายการเมืองกับอิหร่านที่ต่างออกไปซึ่งก็ยังไม่แน่ชัดว่ารวมถึงเรื่องการยกเลิกคว่ำบาตรนี้ด้วยหรือไม่

หนึ่งในกลุ่มบริษัททางด้านพลังงานชื่อดัง Platts รายงานว่าอิหร่านในเดือนสิงหาคมสามารถผลิตน้ำมันออกมา 1.95 ล้านบาร์เรลต่อวันและพวกเขากำลังรอดูอยู่ว่าไบเดนจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ก่อนจึงจะตัดสินใจเพิ่มการผลิตน้ำมัน ประเทศจีนก็คงจะซื้อน้ำมันจากอิหร่านมากขึ้น หากสหรัฐฯ ผ่อนการคว่ำบาตรลง ลูกค้าอย่างเช่นอินเดียหรือเกาหลีใต้ก็อาจจะกลับมาซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอีก แต่สำหรับยูโรโซนดูเหมือนว่าอิหร่านจะยังไม่ได้ทำธุรกิจจริงจังอะไรกับฝั่งนั้นมากนัก

หากว่าอิหร่านตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในยุคของไบเดน นโยบายของกลุ่มโอเปกก็จะได้รับผลกระทบ สถานการณ์ในกลุ่มโอเปก+ จะเปลี่ยนไปหากอิหร่านมีความต้องการและเริ่มต่อรองกับกลุ่มเพื่อที่จะผลิตน้ำมันเพิ่มเกินโควตาที่ทำด้วยกันอยู่ในตอนนี้ หากอิหร่านเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในสถานการณ์ที่ความต้องการน้ำมันดิบยังไม่กลับมาเป็นปกติก็จะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันลดลงไปอีก อย่างไรก็ตามกว่าอิหร่านจะสามารถกลับไปผลิตน้ำมันในปริมาณ 3.5 - 4 ล้านบาร์เรลต่อวันคงต้องใช้เวลาพิจารณากันอีกสักพักใหญ่

ชัยชนะของโจ ไบเดนจะทำให้การคว่ำบาตรเวเนซูเอลาลดความตึงเครียดลงแต่ถึงจะลดลงแล้วตลาดน้ำมันของเวเนซูเอลาตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่แย่มากและประเทศอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจึงจะสามารถกลับมาส่งออกน้ำมันได้อีก ถ้าพูดระหว่างความเป็นไปได้ว่าใครจะมีโอกาสกลับมาส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติได้ตามปกติก่อนกันระหว่างอิหร่านและเวเนซูเอลาฉันขอเชียร์ฝั่งอิหร่านมากกว่า เวเนาซูเอลาอาจจะต้องการให้คนนอกเข้ามาช่วยอย่างเช่นบริษัทจากรัสเซียหรือจีนจึงจะสามารถกลับมาเข้าที่เข้าทางได้

อย่างไรก็ตามเวเนซูเอลายังมีความน่าดึงดูดอยู่เพราะน้ำมันของประเทศนี้เป็นน้ำมันหนัก (heavy oil) ซึ่งมีลักษณะหนืดมีความเข้มข้นสูง ถึงจะโดนคว่ำบาตรอย่างไรน้ำมันประเภทนี้ก็ยังเป็นที่ต้องการของสหรัฐฯ และประเทศยักษ์ใหญ่ ดังนั้นนี่จึงเป็นเกมการเมืองระหว่างสหรัฐฯ จีน และรัสเซียด้วยว่าใครจะกลายเป็นผู้ช่วยชีวิตนางลำยองคนนี้ให้กลับมาเป็นคนปกติได้อีกครั้ง

อีกหนึ่งข่าวที่พอจะสร้างความสนใจให้กับนักลงทุนในตลาดน้ำมันได้บ้างเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็คือผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียนายกาวิน นิวซอม (Gavin Newsom) ได้ลงนามในสัญญาคำสั่งพิเศษไม่อนุญาตให้ขายรถยนต์ที่มีการสันดาปภายในในรัฐแคลิฟอร์เนียไปจนถึงปี 2035 แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่มีประชากรอาศัยอยู่ 40 ล้านคน แต่ถึงอย่างนั้นตัวเลข 2035 ก็ดูเป็นอนาคตที่ไกลมากและก็ไม่มีใครรู้ว่ากว่าจะไปถึงปีนั้นเขาอาจจะไม่ได้เป็นผู้ว่าการแล้วก็ได้

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย