รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ส่องเบื้องหลังการสงบศึกระหว่าง Apple กับ Qualcomm

เผยแพร่ 19/04/2562 07:03
อัพเดท 02/09/2563 13:05

จากการฟ้องร้องที่กินเวลามาเนิ่นนานกว่าสองปีระหว่าง Apple (NASDAQ:AAPL) กับบริษัทผู้ผลิตชิพ Qualcomm (NASDAQ:QCOM) เมื่อวานนี้ได้สร้างความประหลาดใจแก่ตลาดซื้อขายด้วยการยุติข้อพิพาททางกฎหมายล่วงหน้าก่อนกำหนดการตัดสินคดีเพียงไม่กี่ชั่วโมง แม้ว่าหุ้นของ Apple จะไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากความคืบหน้าดังกล่าว แต่หุ้นของ Qualcomm กลับทะยานขึ้นถึง 31% และยังขึ้นไปอีก 6% หลังช่วงเวลาการซื้อขายอีกด้วย

QCOM Weekly 2016-2019

กราฟได้รับการสนับสนุนจาก TradingView

การฟ้องร้องที่ยื่นเมื่อเดือนมกราคมปี 2017 เป็นการกล่าวหา Apple ว่าละเมิดสิทธิบัตรของ Qualcomm ด้วยการไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ โดย Apple ที่ในขณะนั้นเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของ Qualcomm ก็ได้อ้างว่า Qualcomm เองก็คิดค่าสิทธิบัตรแพงเกินกว่าเหตุ นอกจากนี้ Apple ยังอ้างอีกว่า Qualcomm มีหลักปฏิบัติทางธุรกิจที่ไม่เป็นธรรม เช่น การยกระดับตำแหน่งของบริษัทตนให้เป็นผู้ผลิตชิพเบสแบนด์ชั้นนำ เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกค้าแสวงหาอะไหล่จากซัพพลายเออร์คู่แข่งรายอื่น บริษัทจึงบีบบังคับให้ลูกค้าซื้อลิขสิทธิ์สิทธิบัตรของ Qualcomm เพื่อซื้อชิพจากบริษัท ด้วยวิธีนี้บริษัทจึงกอบโกยรายได้จากทั้งการขายชิพและการขายลิขสิทธิ์สิทธิบัตร

การฟ้องร้องจากลูกค้ารายสำคัญที่สุดของบริษัทถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย ยิ่งถ้าลูกค้ารายดังกล่าวเป็นบริษัทผู้ผลิต iPhone ชื่อดังที่มีผู้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

AAPL vs QCOM 2017-2019

กราฟได้รับการสนับสนุนจาก TradingView

แน่นอนว่าเวลาสองปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่น่าเจ็บปวดสำหรับ Qualcomm อย่างมาก สังเกตได้จากราคาหุ้นของบริษัทที่ซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่า $65 มากว่าสองปีนับตั้งแต่เริ่มต้นการฟ้องร้อง ในระหว่างนั้นหุ้นเคยดิ่งลงไปมากถึง $49 ลงไปจากเดิมกว่า 25%

แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน Apple กลับพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นบริษัทแรกที่ได้รับการประเมินมูลค่าบริษัทกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ

เหตุใดการฟ้องร้องจึงส่งผลเสียต่อ Qualcomm มากกว่า Apple ถ้าหากพิจารณาโดยพื้นฐานแล้ว รายได้จากใบอนุญาตลิขสิทธิ์เป็นรายได้หลักของโครงสร้างธุรกิจบริษัท Qualcomm และ Apple ก็มุ่งหมายที่จะสร้างความเสียหายให้แก่รายได้ดังกล่าวด้วยการเสนอให้ศาลรื้อโครงสร้างทางธุรกิจของ Qualcomm เสีย

นอกจากนี้ Apple ยังระงับการจ่ายเงินจำนวน 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แก่ Qualcomm ในระหว่างดำเนินการฟ้องร้อง และจัดหาอะไหล่สำหรับ iPhone จากบริษัทแห่งอื่น ทำให้รายได้ของ Qualcomm ดิ่งลงกว่า 20% ใน ผลประกอบการไตรมาสที่หนึ่งของปี 2019 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว

ทว่ายังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของการยุติข้อพิพาทอย่างชัดเจน ทั้งสองบริษัทได้จัด การแถลงข่าว ระยะสั้น ๆ ที่เผยว่า Apple ได้ยุติการฟ้องร้อง Qualcomm ที่กำลังดำเนินการอยู่ทั้งหมดแล้ว และทั้งสองบริษัทได้ลงนามในข้อตกลงลิขสิทธิ์เป็นระยะเวลาหกปี โดยข้อตกลงดังกล่าวได้ระบุค่าใช้จ่ายที่ไม่เปิดเผยจำนวนที่ Apple ต้องจ่ายให้แก่ Qualcomm ด้วย ทั้งนี้ Qualcomm เผยว่าข้อตกลงดังกล่าวน่าจะช่วยให้หุ้นมีกำไรเพิ่มขึ้น $2 ต่อหุ้น

หาก Apple แทบไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากข้อพิพาทเลย แล้วเหตุใดจึงต้องยุติข้อพิพาทอย่างฉับพลันเช่นนี้ คำตอบก็คือขณะนี้ Qualcomm กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในวงการเทคโนโลยีเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 5G

เทคโนโลยี 5G ที่เพิ่งมีการคิดค้นขึ้นมาใหม่ช่วยให้สามารถโอนย้ายข้อมูลระหว่างโทรศัพท์กับเสารับส่งสัญญาณได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อุปกรณ์มือถือสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เร็วยิ่งขึ้น และที่สำคัญนอกจากนี้คือ Qualcomm เป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่ผลิตชิพที่รองรับ 5G ได้นอกจาก Huawei (SZ:002502), MediaTek (TW:2454) และ Samsung (KS:005930))

เนื่องจาก Apple เป็นผู้นำนวัตกรรมสมาร์ทโฟนระดับโลก ถ้าหาก Apple ไม่สามารถคิดค้นชิพเป็นของตนเองได้ บริษัทก็ยังคงต้องการ Qualcomm พอ ๆ กับที่ Qualcomm ต้องการบริษัท เพราะ Apple ไม่สามารถปล่อยให้อุปกรณ์ของตนด้อยกว่าคู่แข่งของตนได้โดยเฉพาะความเร็วอินเทอร์เน็ต อีกทั้งโทรศัพท์รุ่น Galaxy S10 รุ่นใหม่ของ Samsung ก็กำลังเตรียมตัวรองรับ 5G แล้วด้วย

การยุติข้อพิพาทเมื่อวานนี้ทำให้ Apple สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่มีประเด็นใด ๆ มาเบี่ยงเบนความสนใจของบริษัทได้อีก และมองในมุมกลับกัน อนาคตของ Qualcomm ก็ดูจะสดใสมากกว่าเดิมแล้ว

จากการได้ลูกค้ารายใหญ่กลับคืนมา ต่อจากนี้รายได้และผลประกอบการของบริษัทน่าจะพุ่งทะยานเป็นแน่ นอกจากนี้หลังจากการประกาศข้อยุติดังกล่าว บริษัท Intel (NASDAQ:INTC) ก็ได้ออกมาประกาศแล้วว่าจะไม่เป็นคู่แข่งการพัฒนาชิพ 5G อีกต่อไป ทำให้ Qualcomm กลายเป็นผู้ผลิต 5G รายหลักแต่เพียงผู้เดียว ฉะนั้นเมื่อปัญหาทางกฎหมายคลี่คลายลงแล้ว เราเชื่อว่ากำไร $100 ต่อหุ้นอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย