รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

นักลงทุนไทยไม่ควรพลาด 3 ประเด็นนี้ ( 10 ก.ค.)

เผยแพร่ 10/07/2563 14:08
อัพเดท 10/07/2563 14:14
© Reuters.

โดย Detchana.K

Investing.com - ราคาน้ำมันดิบในตลาดเอเชียวันนี้ปรับลดลง ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่เลวร้ายลงในสหรัฐ หลังจากเมื่อวานนี้เพียงวันเดียวพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 6 หมื่นราย และยอดผู้เสียชีวิตสูงลิ่วในรัฐเท็กซัส แคลิฟอร์ และฟลอริดา  สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ลดลง 0.38 % และ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ลดลง 0.61% เมื่อช่วงเช้าตามเวลาในไทย ขณะที่นักลงทุนตั้งตารอสัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่อาจจะไม่ง่ายนักเพราะยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกก็ยังควบคุมไม่ได้ เช่นในเมลเบิร์น ออสเตรเลียที่ยอดผู้ติดเชื้อพุ่ง จนทางการต้องกลับมาใช้มาตรการล็อคดาวน์อีกครั้ง ติดตามรายละเอียดพร้อมประเด็นสำคัญที่นักลงทุนไทยควรรู้สำหรับวันนี้

1. ราคาน้ำมันเริ่มปรับฐาน

ตลาดกำลังจับตาราคาน้ำมันอย่างใกล้ชิดหลังจากเมื่อวานนี้ทรุดตัวลงต่ำสุดถึง 3% ติดลบมากที่สุดในระยะเวลาสองสัปดาห์ และในที่สุดก็ได้รับผลกระทบจากสัญญาณการชะลอตัวของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการระบาดและการล็อกดาวน์ครั้งใหม่ ประกอบกับรายงานปริมาณน้ำมันดิบสำรองของสหรัฐขยับเพิ่มขึ้น 5.65 ล้านบาร์เรลในเดือนที่ผ่านมา ยิ่งเพิ่มความกังวลเรื่องปริมาณน้ำมันล้นตลาด

ที่อาจจะยิ่งแย่ไปกว่านั้น องค์การอนามัยโลกหรือ WHO เผยหลักฐานที่บ่งชี้ว่าไวรัสโควิดกำลังพัฒนาตัวเองให้สามารถติดต่อทางอากาศได้ ซึ่งหากมีข้อพิสูจน์ยืนยันว่าเป็นความจริง อาจจะส่งผลถึงการติดเชื้อที่เพิ่มทวี รวมถึงความ้องการน้ำมันที่จะดิ่งฮวบลงไปอีกได้

Ed Moya นักวางแผนกลยุทธ์ตลาดอาวุโสจาก OANDA ได้ระบุไว้ในบันทึกว่า “การระบาดของไวรัสยังไม่คลี่คลายลงเนื่องจากในหลายรัฐที่มีประชากรหนาแน่น (เท็กซัสและฟลอริดา) ยังคงมีอัตราการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสูงมาก" ส่วน Lachlan Shaw หัวหน้านักวิจัยสินค้าโภคภัณฑ์จาก National Australia Bank ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์สว่า อุปสงค์น้ำมันในสหรัฐลดลงโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการล็อกดาวน์อีกครั้ง แม้ว่าอุปสงค์น้ำมันแถบชายฝั่งตะวันออกจะยังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องก็ตาม

2. หุ้นกลุ่มโรงแรมเริ่มเข้าสู่ช่วงฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง

ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (BK:MINT) เริ่มกลับมาให้บริการโรงแรมในประเทศแล้วทั้งในและต่างประเทศ อาทิ Anantara Siam,Anantara Huahin และ Avani Huahin และคาดว่าจะกลับเริ่มให้บริการโรงแรมที่ภูเก็ต พัทยา สมุยและขอนแก่นในเดือนก.ค. 2563 ในขณะที่กลุ่ม NH Hotel ได้กลับมาให้บริการตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิ.ย. 2563 ราว 60% ของโรงแรมในพอร์ตและมียอด Booking เข้ามาต่อเนื่องและมียอดBooking แล้ว 40% โดยในไตรมาส 3 จะเป็นช่วง High Season และคาดว่าจะสามารถกลับมาให้บริการโรงแรมได้เกือบ 100%

ส่วน ดิ เอราวัณ กรุ๊ป(BK:ERW) ใน 2Q63 คาดว่าขาดทุนหนัก แต่เป็นจุดต่ำสุดของผลกระทบ COVID-19 แม้ ERW เริ่มทยอยเปิดโรงแรมได้บ้างแล้ว แต่เกิดขึ้นในช่วงปลาย 2Q63 และส่วนใหญ่เป็นโรงแรมในกลุ่ม Budget และ Economy ทำให้ 2Q63 เป็นไตรมาสที่ผลประกอบการจะถูกกระทบจาก COVID-19 รุนแรงที่สุด

สำหรับ ERW คงประมาณการปี 2563 และมีมุมมองลุ้นฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปใน 2H63 หากกำไรออกมาตามคาด ผลประกอบการ 1H63 จะขาดทุนราว 728 ล้านบาท คาดผลประกอบการ 3Q63 ยังขาดทุน แต่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หนุนจากโรงแรมในประเทศหลังเปิดได้เต็มไตรมาส และฟื้นตัวต่อเนื่องใน 4Q63จากสมมุติฐานการเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้บางส่วน ทำให้มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้า มาหนุนในช่วงปลายปีซึ่งเป็น High season ของอุตสาหกรรม

3. เราเริ่มเห็นแรงเทขายทำกำไรจากราคาทองคำออกมาเป็นระยะๆ

หลังจากที่เราได้เห็นการขยับขึ้นของราคาทองคำเหนือระดับ 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มา 3 วันต่อเนื่อง และราคาทองได้ไต่ขึ้นทำสถิติสุงสุดใหม่ในรอบ 9 ปี เมื่อวานนี้มีแรงเทขายออกมาอย่างชัดเจนอยู่ช่วงหนึ่งจนราคาหลุดต่ำกว่า 1,800 เหรียญก่อนที่จะดีดกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยจำนวนผู้ยื่นขอสิทธิสวัสดิการว่างงานในสัปดาห์ล่าสุด (26 มิ.ย. - 3 ก.ค.) อยู่ที่ 1.31 ล้านคน ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนหน้าจำนวน 99,000 คน เป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดในรอบ 1 เดือน

อย่างไรก็ตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังอาจฟื้นตัวได้อย่างยากลำบากท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงต่างๆโดยเฉพาะการระบาดหนักของไวรัสโควิด-19 ซึ่งยังเป็นปัจจัยสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ต่อไป และช่วยจำกัด Downside ของราคาทองคำ

นักวิเคราะห์แนะแนวทางการเทรด Gold spot XAU/USD ภาคบ่ายนี้หากการอ่อนตัวลงของราคาทองคำไม่มากและยังสามารถรักษาระดับเหนือแนวรับได้ราคาทองคำยังมีลุ้นดีดขึ้นทดสอบแนวต้าน 1,811-1,818 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยหากราคาทองคำทรงตัวรักษาระดับไว้ได้อย่าง ต่อเนื่องจะทำให้เกิดแรงซื้อทำกำไรสลับเข้ามาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ประเมินแนวรับที่ 1,792-1,789 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ห้ามพลาด

♦กราฟเด่นประจำวัน: ราคาน้ำมันดิบจะยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นได้นานแค่ไหน?

♦ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่สูงเป็นประวัติการณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำ

ความคิดเห็นล่าสุด

😍😍😍
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย