รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

5 เหตุการณ์สำคัญ ปฏิทินเศรษฐกิจสัปดาห์นี้ (9-13 ก.ย.)

เผยแพร่ 08/09/2562 18:10
อัพเดท 09/09/2562 09:25
© Reuters.

Investing.com -- ห้าประเด็นหลักที่คุณควรทราบเพื่อเริ่มต้นสัปดาห์นี้มีดังต่อไปนี้

  1. จับตาธนาคารกลางยุโรป (ECB)

แทบจะแน่นอนอยู่แล้วว่า ECB จะต้องอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ ในวันพฤหัสบดีนี้เพื่อหนุนเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ทว่ารายละเอียดที่แท้จริงของมาตรการเหล่านั้นยังไม่เป็นที่แน่ชัด แม้ว่าการประชุมครั้งนี้จะต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ยเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่คำถามสำคัญคือ จะมีการเวนคืนสินทรัพย์อยู่ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยหรือไม่ ภายหลังจากส.ส.บางส่วนเผยว่าการทำเช่นนั้นอาจยังเร็วเกินไป

เหล่านักเศรษฐศาสตร์จาก ING ระบุไว้ว่า “ถึงแม้เราจะไม่เชื่อว่าการปรับนโยบายทางการเงินให้ผ่อนคลายจะสร้างแรงหนุนในแง่บวกให้แก่การเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่การนิ่งเฉยเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอีกต่อไป เนื่องจากตลาดได้วางเดิมพันกับการลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว"

“เราคาดหวังว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ย 20 จุด, มีการจัดตั้งระบบการปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นขั้นบันไดเพื่อรับมือกับสภาพคล่องทางการเงินที่มากเกินไป, เงื่อนไขของ TLTRO ที่เปิดกว้าง และการปรับนโยบายทางการเงินให้ผ่อนคลายเชิงปริมาณด้วยเงินมูลค่า 3 หมื่นล้านยูโร (แม้ประการหลังจะยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน และอาจจำเป็นต้องเลื่อนไปก่อนเพื่อรอดูผลลัพธ์ของ Brexit ก็ตาม)”

2. ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับ Brexit

ดูเหมือนว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะมีการเลื่อน Brexit ออกไปอีกสามเดือน หลังจากนายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายบอริส จอห์นสัน ได้พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะถอนสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปในวันที่ 31 ตุลาคมให้ได้ แม้จะมีข้อตกลงหรือไม่มีก็ตาม โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนายจอห์นสันได้พ่ายแพ้ให้แก่คะแนนเสียงส่วนมากในสภา ทำให้เสียงเรียกร้องของเขาให้มีการเลือกตั้งล่วงหน้าถูกกีดกัน

คาดว่าในวันนี้นายจอห์นสันจะพยายามอีกครั้งเพื่อเรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง ทว่าคณะส.ส.ฝ่ายค้านได้กล่าวไว้แล้วเมื่อวันศุกร์ว่า คณะส.ส. จะไม่หนุนการเลือกตั้งหากรัฐบาลไม่ยอมร้องขอให้สหภาพยุโรปเลื่อนเส้นตายออกไปเสียก่อน

ท่ามกลางสัญญาณทางเศรษฐกิจที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย รายงานตลาดแรงงานสหราชอาณาจักรในสัปดาห์นี้จึงเป็นที่่น่าสนใจเป็นพิเศษ อีกทั้งตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่สองและผลผลิตภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และการค้าอีกด้วย

3. ข้อมูลเศรษฐกิจจีนย่ำแย่

ตัวเลขที่รายงานออกมาช่วงเช้าเมื่อวานนี้ระบุว่า ตัวเลขการส่งออกของจีนเดือนสิงหาคมลดลงเกินคาด โดยการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ลดลงถึง 16% ยิ่งเผยให้เห็นความอ่อนแอของประเทศเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกมากขึ้น

คาดว่าในอีกสองสามสัปดาห์ข้างหน้า จีนน่าจะประกาศมาตรการกระตุ้นทางเศรษฐกิจออกมาอีกเพื่อหลีกเลี่ยงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจไม่ให้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจประกอบไปด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ยืมด้วย

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีนได้ลดอัตราส่วนเงินสำรองลงไปถึง 900 ล้านหยวนเพื่อหนุนเศรษฐกิจ

ตัวเลขบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อและราคาสินค้าโรงงานที่จะรายงานออกมาในวันพรุ่งนี้ น่าจะบ่งบอกข้อมูลเชิงลึกให้เห็นภาพมากขึ้นว่าจีนควรปรับนโยบายทางการเงินให้ผ่อนคลายอีกหรือไม่

4. ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ตัวเลขสำคัญที่น่าจับตาในปฏิทินเศรษฐกิจของสหรัฐฯ สัปดาห์นี้คือยอดค้าปลีกประจำเดือนสิงหาคม ซึ่งคาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ลดลงจากเดือนกรกฎาคมที่เพิ่มขึ้น 0.7% แม้การลงทุนในประเทศและการส่งออกจะชะลอตัวลง แต่ผู้บริโภคก็ยังคงจับจ่ายอย่างต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา สหรัฐฯ ได้เริ่มเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 1.12 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมทั้งหมดเป็นอัตรา 15% แม้ตลาดเริ่มคลายความกังวลเมื่อมีรายงานข่าวว่าทั้งสองฝ่ายจะเจรจาทางการค้ากันต่อในเดือนตุลาคม แต่ภาษีศุลกากรดังกล่าวจะทำให้ชาวอเมริกันจะต้องจ่ายเงินให้กับสินค้าในราคาที่สูงขึ้นล่วงหน้าก่อนช่วงเทศกาล

ข้อมูลเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจในสัปดาห์นี้ได้แก่ การรายงานยอดขายการค้าส่งในวันพุธ และราคาสินค้านำเข้าในวันศุกร์

5. พันธบัตรรัฐบาล/ผลตอบแทนที่กลับกัน

ประเด็นที่อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แบบระยะยาวมีอัตราที่น้อยกว่าเงินปันผลเฉลี่ยของหุ้น กลับได้รับความสนใจน้อยกว่ากราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กลับกัน แต่นี่อาจเป็นเหตุผลที่หุ้นสหรัฐฯ ได้รับแรงหนุนภายหลังจากบอบช้ำอย่างหนักเมื่อเดือนสิงหาคมก็เป็นได้

หลังจากดัชนี S&P 500 ดิ่งลงอย่างหนักด้วยการส่งมอบขาลงรายเดือนครั้งแรกนับตั้งแต่พฤษภาคม หุ้นสหรัฐฯ ก็เริ่มออกตัวอย่างแข็งแกร่งในเดือนกันยายนนี้ โดยกราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่กลับกันถือเป็นแรงหนุนที่สำคัญให้แก่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้วย

ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลแบบระยะกลางนั้นอยู่ต่ำกว่าอัตราปันผลของ S&P 500 มาหลายเดือน แต่กราฟผลตอบแทนแบบระยะยาวอายุ 30 ปีเพิ่งเกิดการกลับกันเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม ซึ่งถือเป็นการกลับกันครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2009

-- เนื้อหาข่าวได้รับการสนับสนุนจากสำนักข่าวรอยเตอร์

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย