สัปดาห์นี้: ตลาดยังเทขายต่อเนื่อง-สงครามการค้ากำลังดุเดือด

 | Aug 26, 2019 05:01

  • มาตรการทางภาษีครั้งใหม่ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนมีอิทธิพลกับตลาดเหนือกว่าธนาคารกลาง

  • ดัชนีหลักในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ยังคงปรับตัวลดลง

  • เงินเยนเริ่มเข้าใกล้จุดสูงสุดในรอบสามปี และทองคำก็ปรับตัวขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2013 เป็นต้นมา

ความเสี่ยงด้านสงครามทางการค้าที่เพิ่มขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาทำให้ตลาดเกิดความผันผวนและมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นขาลงในช่วงสัปดาห์นี้ และโอกาสที่จะสามารถกลับตัวขึ้นได้ก็มีน้อยลงด้วย แม้ว่าเฟดจะเสนอมาตรการช่วยเหลือออกมาก็ตาม ตลาดหุ้น ตราสารหนี้ และค่าเงิน ดอลลาร์ ตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาต่างก็ยังร่วงลงต่อไป ส่วนพันธบัตร ทองคำ และ เงินเยน ปรับตัวได้สูงขึ้น

จีนได้แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่าจะเรียกเก็บภาษีกับสินค้าของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 75,000 ล้านเหรียญส่งผลอย่างมากกับตลาด ทำให้ดัชนีหลักทั้งสี่ตัวของตลาดหลักทรัพย์ในสหรัฐฯ เปิดตลาดได้ต่ำลง เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลาที่จีนแถลงการณ์ดังกล่าวออกมาเพื่อโต้ตอบสหรัฐฯ ในครั้งนี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดจะออกมาแสดงความคิดเห็นที่เมืองแจ็คสันโฮลเพียงไม่กี่นาที ซึ่งถือว่ามีการวางแผนมาอย่างดีและมีประสิทธิภาพมาก

นายพาวเวลล์ต้องการที่จะคงสถานะเดิมไว้ ส่วนทวีตของทรัมป์ก็เป็นเร่งความผันผวน

ในช่วงที่นายพาวเวลล์ออกมาแสดงความคิดเห็นนั้น เขาค่อนข้างเดินเกมอย่างปลอดภัยโดยกล่าวว่า “เราจะดำเนินการตามที่เหมาะสมเพื่อให้สภาพเศรฐกิจขยายตัวต่อเนื่องต่อไปได้” แต่ก็ไม่ได้มีความเห็นที่ชัดเจนว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกหรือไม่ และยังกล่าวด้วยว่าเรื่องสงครามการค้านั้นไม่ได้มีตำราให้ทำตามได้

แม้ว่านายพาวเวลล์จะยืนยันว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะที่ดี แต่ก็ยังมี "ความเสี่ยงสำคัญ" บางอย่างซึ่งอาจทำให้ต้องมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือนหน้านี้ แต่เขาก็ไม่ได้เปิดเผยว่าอัตราดอกเบี้ยที่ว่านั้นจะอยู่ที่เท่าใด

ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้เล็กน้อยในช่วงที่นายพาวเวลล์กำลังขึ้นแสดงความคิดเห็น โดยตลาดยังมีความเชื่อมั่นว่าจะมีการ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในปีนี้ลงอีกสองถึงสามครั้ง แสดงให้เห็นว่าวิธีการที่เขาใช้ยังสามารถควบคุมสถานการณ์และสมดุลของตลาดได้

แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็คงอยู่ได้เพียงไม่นาน เนื่องจากการแถลงของนายพาวเวลล์ไม่เป็นที่พอใจของประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์เท่าใดนัก ประธานาธิบดีจึงกระหน่ำทวีตข้อความและทำให้ตลาดต้องดิ่งลงไปได้ในที่สุด

ในทวีตแรกของเขาเขียนว่า “คำถามเดียวของผมในตอนนี้ก็คือ ใครเป็นศัตรูของเรากันแน่ระหว่าง เจย์ พาวเวลล์กับประธานาธิบดีสี?” หลังจากนั้นอีกเพียงสองนาทีก็มีอีกข้อความที่สั่งให้บริษัทต่างๆ ในอเมริกา “หาแนวทางสำรองอื่นเพื่อใช้แทนจีน” หลังจากนั้นเพียงไม่ถึงชั่วโมง ทั้งดัชนี S&P 500 และ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ต่างก็ร่วงลงไป 1.7% ดัชนี Russell 2000 ปรับลดลงไป 2.07% และดัชนี NASDAQ คอมโพสิต ก็ร่วงไป 2.37% ด้วยเช่นกัน

ในวันนั้น ดัชนี S&P 500 ปิดตลาดลดลง 2.59% โดยหุ้นทุกกลุ่มคงอยู่ในแดนลบทั้งหมด กลุ่ม สาธารณูปโภค ซึ่งปรับลง -1.05% ยังเป็นกลุ่มที่ทำผลงานได้ดีที่สุด ส่วนกลุ่ม เทคโนโลยี ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดในเรื่องสงครามการค้าปรับลดลงแซงหน้ากลุ่มอื่นถึง -3.31% โดยหุ้นของ Apple (NASDAQ:NASDAQ:AAPL) ปรับลดลงไป 4.6%

เมื่อพิจารณาทั้งสัปดาห์ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงไป 1.44% โดยแทบทุกกลุ่มมีการปรับลดลง โดยมีเพียง 2 กลุ่มที่สามารถปรับตัวขึ้นได้คือหุ้นในกลุ่ม สินค้าฟุ่มเฟือย และสาธารณูปโภคปรับตัวขึ้น +0.52% และ +0.16% ตามลำดับ ส่วนในกลุ่ม วัสดุก่อสร้าง กลุ่มที่อ่อนไหวกับการส่งออกยังทำผลงานได้แย่ลง โดยปรับตัวลงไป -2.95%