ท้ายที่สุดแล้วตลาดน้ำมันจะอยู่ข้าง รมว.พลังงานคนใหม่ของซาอุฯ หรือไม่?

 | Sep 11, 2019 08:09

หากนายอาลี อัล นายมี อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานในตำนานของซาอุดีอาราเบีย ผู้ดำรงตำแหน่งยาวนานถึง 20 ปีจะโทรศัพท์หานายคาลิด อัล ฟาลีห์ ผู้เข้ามาดำรงตำแหน่งแทนในปี 2016 เขาคงอยากพูดกับนายคาลิดว่า

“โชคร้ายหน่อยนะ คุณก็พยายามดีที่สุดแล้ว แต่ตลาดดันไม่เข้าข้างคุณเท่าไหร่”

นายฟาลีห์ต้องพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานไปอย่างกะทันหันเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งนี้มาเพียงสามปีเศษเท่านั้น ด้วยสาเหตุเดียวกันกับที่ทำให้นายนายมีต้องพ้นจากตำแหน่งไป นั่นก็คือการไม่สามารถทำให้ราคาน้ำมันดิบ ซึ่งถือเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญของซาอุดีอาราเบียสูงขึ้นได้ ไม่ว่าจะมีการพยายามปรับโครงสร้างอยู่หลายครั้งหลายคราก็ตาม

แม้ว่านายนายมี ผู้ที่มีอายุย่างเข้า 84 ปีกับนายฟาลีห์ซึ่งอายุยังไม่ถึง 60 จะมีอายุต่างกันหลายปีแต่กลับต้องมาประสบชะตากรรมในสายงานแบบเดียวกัน

ทั้งสองคนได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในสหรัฐฯ โดยนายนายมีเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และฮาร์วาร์ด ส่วนนายฟาลีห์เข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยการเกษตรและเครื่องยนต์แห่งเท็กซัส ทั้งสองคนเริ่มต้นทำงานกับบริษัทน้ำมันอรามโกของซาอุดีอาราเบีย (จริงๆ แล้วนายนายมีเริ่มงานในปี 1947 ในตำแหน่ง “พนักงานดูแลออฟฟิศ” ในขณะที่อายุเพียง 12 ปี) หลังจากนั้นก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนสามารถมาบริหารบริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันระดับโลกแห่งนี้ได้ในที่สุด

ทั้งสองคนค่อนข้างมีบุคลิกในการทำงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นายนายมีจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจทำสิ่งใดด้วยจุดยืนหนักแน่นของตนเอง ดังจะเห็นได้จากการตัดสินใจที่จะพยายามคงรักษาระดับการผลิตน้ำมันของซาอุดีอาราเบียไว้แม้ว่าระดับราคาจะลดต่ำลงก็ตาม ทั้งนี้เพื่อกำจัดศัตรูอย่างผู้ผลิตน้ำมันในอเมริกาซึ่งสามารถผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานได้มากแต่ได้กำไรน้อยให้พ้นทางไปให้ได้

นายฟาลีห์ก็มีผลงานที่ได้ทำไปแล้ว .../h3

นายฟาลีห์ ผู้ที่มักจะปฏิเสธใครไม่เป็น ถือเป็นคู่แข่งในเชิงการตลาดกับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบียผู้ทรงอิทธิพล หรือเรียกโดยย่อว่า MbS ซึ่งได้รับการขนานพระนามว่าเป็น “อำนาจที่แท้จริง” เบื้องหลังราชบัลลังก์ของสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน

หลายฝ่ายยังคงแปลกใจว่าทั้งที่นายฟาลีห์ก็เป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีกับ MbS แต่ในช่วงเช้าของวันที่ 8 กันยายนก็มีพระราชกฤษฎีกาจากสมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานปลดเขาออกจากตำแหน่งจนได้ บางคนก็บอกว่าเริ่มเห็นวี่แววมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทอรามโกของนายฟาลีห์ก็มีผู้มารับหน้าที่แทน ซึ่งตำแหน่งนี้เคยเป็นอีกตำแหน่งหนึ่งที่เขาเคยต้องทำไปด้วยในขณะที่เป็นรัฐมนตรี กษัตริย์แห่งซาอุดีอาราเบียทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเจ้าชายอับดุลลาซิส บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซึ่งเป็นพระโอรสอีกพระองค์หนึ่งและเป็นพี่ชายของ MbS ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานคนใหม่

เหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดที่นายฟาลีห์ต้องถูกปลดจากตำแหน่งในครั้งนี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่า ตราบใดที่เขายังทำหน้าที่นี้อยู่ เขาก็จะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะพยายามให้ตลาดหันมาเข้าข้างซาอุดีอาราเบียและกลุ่มโอเปกที่ซาอุดีอาราเบียเป็นผู้นำอยู่ให้ได้

ซึ่งในบางครั้งเขาก็ทำได้ แต่บางครั้งก็ทำไม่สำเร็จเนื่องจากตลาดมีความผันผวนที่มากขึ้น ประกอบกับความยากที่ไม่มีนายนายมีมาเป็นที่ปรึกษา

ในช่วงที่เขาเข้ามารับตำแหน่ง นายฟาลีห์ได้เปลี่ยนนโยบายเดิมจากที่เคยอนุญาตให้มีการผลิตน้ำมันได้ตามใจชอบ โดยให้มีการจัดทำข้อตกลงปรับลดปริมาณการผลิตระหว่างกลุ่มโอเปกกับประเทศพันธมิตรซึ่งนำโดยรัสเซียถึงสองครั้งด้วยกัน โดยในครั้งแรกผ่านพ้นไปแล้ว และครั้งที่สองซึ่งตกลงกันไว้ในเดือนธันวาคมว่าจะปรับลดการผลิตน้ำมันลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันจนกว่าตลาดจะเริ่มกลับมามีความสมดุลอีกครั้ง ซึ่งยังมีผลอยู่จนถึงทุกวันนี้

… แต่ยังทำได้ไม่ดีพอ/h3

ผลงานของนายฟาลีห์ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเมื่อพิจารณาในเชิงของปริมาณตัวเลข ในช่วงที่นายฟาลีห์เข้ามารับตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2016 ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ซึ่งใช้เป็นมาตรฐานราคาน้ำมันได้ปรับจากระดับต่ำกว่า $50 ต่อบาร์เรลขึ้นมาสูงกว่า $62 ในสัปดาห์นี้ ซึ่งแม้ว่าจะปรับขึ้นมาเกือบ 25% ในช่วงสามปีเศษแล้วก็ตาม แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับ $80 ต่อบาร์เรลซึ่งเป็นระดับที่ซาอุดีอาราเบียต้องการ