รีวิว (ละเอียด) หุ้น UHS หนึ่งในเครือโรงพยาบาลใหญ่สุดในอเมริกา

 | Jun 12, 2020 08:10

โรงพยาบาล UHS หรือ Universal health services ก่อตั้งเมื่อปี 1979 และได้ทำการ IPO เมื่อปี 1981 (NYSE:UHS) UHS เป็นหนึ่งในเครือโรงพยาบาลที่ใหญ่สุดในอเมริกา มีโรงพยาบาลครอบครองอยู่เกือบ 40 รัฐทั่วอเมริกา แบ่งเป็นโรงพยาบาลประเภท Acute Care Hospital Services 47 แห่ง Behavioral Health Services 352 แห่ง (เดี๋ยวจะอธิบายต่อไปว่ามันต่างกันยังไง)
ถ้าแยกตามประเภทผู้ป่วย โรงพยาบาลที่รองรับผู้ป่วยในได้มี 357 แห่งและรองรับผู้ป่วยนอกรวมถึง ER และผ่าตัด 42 แห่ง
UHS ขณะนี้มีพนักงานประมาณ 90,000 คน

ผลกระทบจากโควิด
เอาเข้าจริงๆแล้ว ทางโรงพยาบาลไม่ได้รับประโยชน์จากโควิด เสียประโยชน์ด้วยซ้ำเพราะเสียรายได้จากการรักษาหรือผ่าตัดโรคที่ไม่ได้ร้ายแรงหรือเร่งด่วนไปเนื่องจากรัฐบาลให้โฟกัสทรัพยากรไปที่โควิดก่อน นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคลากรเพื่อจัดการกับผู้ป่วยโควิดเข้าเนื้อเพิ่มเติมอีกด้วย

ดาวน์โหลดแอป
เข้าร่วมกับคนนับล้านที่ใช้ Investing.com เพื่อติดตามข่าวสารตลาดการเงินทั่วโลก
ดาวน์โหลดเดี๋ยวนี้

ก่อนเข้าเรื่อง UHS ขอเล่าหยาบๆเรื่องธุรกิจโรงพยาบาลทั่วไปในอเมริกาก่อน
ถ้าเป็นโรงพยาบาลทั่วไปบ้านเราน่าจะแบ่งได้เป็น ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ ตามความสามารถในการรักษาโรคซับซ้อนจากน้อยไปมาก แต่ของอเมริกาจะแบ่งตามประเภทการให้บริการมากกว่า โดยโรงพยาบาลทั่วไปของที่นี่เรียกว่า Acute care hospital โดยจะเน้นเป็นคนไข้มารักษาและพักระยะสั้น จากนั้นถ้าคนไข้ยังกลับบ้านไม่ได้ต้องการการดูแลต่อ เช่นต้องการเครื่องช่วยหายใจอยู่ หรือมีแผลที่ต้องได้รับการดูและใกล้ชิด ก็จะมีโรงพยาบาลอีกประเภท เรียกว่า Long Term Acute Care แต่หากว่าอาการดีขึ้นแล้วจะมี Rehabilitation Hospital หรือ สถานที่รักษาตัว รับช่วงต่อ

กลับมาที่ธุรกิจกลักของ UHS

รายได้และกำไรย้อนหลัง
ปี 2019 - $11,378 ล้าน กำไร $815 ล้าน
ปี 2018 - $10,772 ล้าน กำไร $780 ล้าน
ปี 2017 - $10,410 ล้าน กำไร $752 ล้าน

สามารถแบ่งรายได้ตามประเภทโรงพยาบาลได้ 2 ประเภทดังนี้
1. Acute Care Hospital Services - คิดเป็น 54% ของรายได้รวม โดยรายได้จากผู้ป่วยนอก 38 % ผู้ป่วยใน 62%
โดยโรงพยาบาลประเภทนี้ประกอบไปด้วยแผนกรักษาทั่วไป, ศูนย์รักษาฉุกเฉิน (ER), ศูนย์ผ่าตัด และศูนย์มะเร็ง หลักๆ รวมๆกันมี 47 แห่งอยู่ในอเมริกาทั้งหมด
2. Behavioral Health Services - คิดเป็น 46% ของรายได้รวม โดยรายได้จากผู้ป่วยนอก 10 % ผู้ป่วยใน 90%
โดยโรงพยาบาลประเภทนี้รับรักษาเฉพาทาง ด้านกายภาพ จิตเวช หรือ โรคประสาทบางชนิด รวมๆกันมี 352 แห่งแบ่งเป็นอยู่ในอเมริกา 204, ใน UK 153 และใน Puerto Rico 3

ข้อสังเกตคือแม้ว่าโรงพยาบาลแบบ2 จำนวนโรงพยาบาลจะเยอะกว่าแบบ1มากแต่สัดส่วนรายได้จะประมาณครึ่งๆเลย

นอกจากนี้ถ้าเราแบ่งรายได้ตามประเภทลูกค้าหรือแหล่งรายได้จะแบ่งได้เป็น 7 ส่วน
1. Medicare Program (17% ของรายได้รวม) – ประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุซึ่งจะได้รับจากรัฐบาลโดยตรง
2. Managed Medicare (9% ของรายได้รวม) – ประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุซึ่งขายโดยบริษัทประกันเอกชน โดยรัฐบาลจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย กฎต่างๆ (การประกันสุขภาพในลักษณะนี้บริษัทขายประกันสุขภาพจะมีอํานาจเหนือผู้ซื้อประกันเนื่องจากเป็นผู้ตัดสินใจวิธีการรักษา และความถี่ในการรักษา รวมทั้งคุมเข้มเรื่องค่ารักษาต่างๆ)
3. Medicaid Program (11% ของรายได้รวม) - ประกันสุขภาพสำหรับผู้มีรายได้น้อยและพิการซึ่งได้รับจากรัฐบาลโดยตรง
4. Managed Medicaid (15% ของรายได้รวม) – ประกันสุขภาพสำหรับผู้มีรายได้น้อยและพิการซึ่งขายโดยบริษัทประกันเอกชน(หลักการเหมือน Managed Medicareเลย)
5. Managed Care (32% ของรายได้รวม) – ประกันสุขภาพทั่วไปซึ่งขายโดยบริษัทประกันเอกชน
6. UK (5% ของรายได้รวม) – กำไรจากโรงพยาบาลใน UK
7. รายได้จากผู้ป่วยจ่ายเองไม่ผ่านประกันและอื่นๆ (12%)

โดยสรุปคือแหล่งรายได้จากโรงพยาบาลส่วนใหญ่มาจากรัฐและบริษัทประกันสุขภาพซึ่งมีอำนาจต่อรองค่อนข้างสูง

ในส่วนของการเติบโตนั้น รายได้รวมมีการเติบโตย้อนหลังประมาณ 7% ต่อปีโดยโตทุกปีมาเป็น 10 ปีแล้ว
โดยกลยุทธ์หลักของ UHS คล้าย BDMS ของไทยคือซื้อโรงพยาบาลอื่น แล้วก็ยังมีการสร้าง/เช่าโรงพยาบาลด้วย
แต่ถ้าเจาะไปที่ธุรกิจส่วน behavioral health services หลังๆมาจะโฟกัสไปที่การพาร์ทเนอร์กับโรงพยาบาลทั่วไปอื่นๆเพื่อตั้งศูนย์ behavioral ที่โรงพยาบาลนั้นๆโดยมีการทำ joint venture, ซื้อเตียง ต่างๆร่วมกัน

เทรนด์ใหญ่ๆขณะนี้คือรายได้จากผู้ป่วยนอกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นชัดเจนหลายปีที่ผ่านมาจากเรื่องจากความก้าวหน้าเทคโนโลยีการแพทย์ทำให้รักษาโรคได้มากขึ้น นอกจากนั้นยังได้รับการกดดันจาก Medicare และ Medicaid และประกันของบริษัทเอกชน ให้นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลระยะเวลาสั้นๆพอเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
แต่ผลกระทบจากเทรนด์นี้อาจกดดันกำไรของบริษัทโดยรวมได้ เนื่องจากรายได้จากผุ้ป่วยนอกที่โตเร็วกว่าผุ้ป่วยในมี operating margin น้อยกว่า
นอกจากนี้ เทรนด์ของการรักษาผู้ป่วยนอกยังทำให้ UHS เข้าไปอยู่ในตลาดที่มีคู่แข่งมากขึ้น เนื่องจากโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยนอกแข่งขันกันสูงกว่าผู้ป่วยใน (หมอผ่าตัดบางคนเป็นเจ้าของศูนย์ผ่าตัดเองด้วยนะ)

มาดูที่ capacity ของเตียง ยังถือว่าเยอะอยู่นะยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อยู่นะ

จริงๆถ้าลองไปดูงบเทียบกับโรงพยาบาลอื่นๆในตลาด UHS ถือว่าโดดเด่นพอสมควร

ถัดมาเรื่องความเสี่ยงของ UHS
ความเสี่ยงเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากหมอ พยาบาลของทางโรงพยาบาลบางคนทำงานให้กับโรงพยาบาลอื่นด้วยจึงมีความเสี่ยงเรื่องการเสียบุคลากรเหล่านี้ไป เพราะหมอ10 คนแรกชื่อดังของโรงพยาบาลสร้างรายได้ให้กับโรงพยาบาลจำนวนมาก การหาหรือดึงตัวหมอเก่งๆมาใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
โชคร้ายที่ความเสี่ยงเรื่องนี้เกิดเป็นความเสียหายแล้ว โดยถ้าเจาะเข้าไปดุงบการเงินจะเห็นเลยว่า operating margin จริงๆลดลงทั้งบริษัทเลย สาเหตุหลักเพราะเงินเดือนของ พยาบาล หมอเพิ่มขึ้นเรวเกินไป เนื่องจากขณะนี้มีการขาดแคลนพยาบาลในอเมริกา ซึ่งอาจทำให้โรงพยาบาลต้องเพิ่มค่าจ้างหรือให้สิทธิบางอย่างเพื่อดึงตัวหรือคงตัวพยาบาลไว้ หรือแม้แต่จ้างพยาบาลชั่วคราว ถ้าร้ายแรงกว่านั้นบางโรคต้องการพยาบาลเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ถ้าไม่สามารถหาได้อาจทำให้รายได้จากการรักษาโรคนั้นๆลดลงเลยเนื่องจากรับผู้ป่วยเพิ่มไม่ได้

ความเสี่ยงเรื่องอำนาจต่อรองของลูกค้า เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากบริษัทประกันและประกันสุขภาพของภาครัฐ ถ้ารัฐเปลี่ยนนโยบาย หรือลด budget ลงจะกดดันรายได้และกำไร UHS อย่างมาก โดยขณะนี้ภาครัฐได้มีการลด budget สำหรับ Medicare แล้ว 2% ต่อเนื่องไปถึงปี 2029 นอกจากนั้นทาง UHS ยังต้องต่อราคากับลูกค้าที่เป็นบริษัทประกันอีกด้วย

ความเสี่ยงจากผู้ป่วยไม่มีเงินจ่าย โดยมีกฎหมายว่าโรงพยาบาลต้องรับผู้ป่วยฉุกเฉินก่อนที่จะพิจารณาว่ามีเงินจ่ายหรือไม่ โดยต้องรักษาให้อาการพ้นภาวะวิกฤต เรียกผู้ป่วยส่วนนี้ว่า charity care patients นอกจากนั้นยังมีผู้ป่วยที่ไม่จ่ายเงินและไม่มีประกันด้วย โดยรวมๆที่ผ่านมาส่วนนี้คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ $200 ล้านต่อปีซึ่งเทียบกับรายได้ยังไม่เยอะมาก

ความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ คนตกงานเพิ่มขึ้นอาจทำให้คนไม่มีประกันมากขึ้นซึ่งจะไม่อยากมาหาหมอเพราะโดยเฉพาะถ้าเป็นโรคไม่รุนแรงมาก เพราะค่ารักษาที่อเมริกาแพงมากถ้าไม่มีประกัน