ภาพรวมตลาดประจำสัปดาห์:ตลาดหุ้นและทองคำกอดคอพากันขึ้นส่วนดอลลาร์อ่อนค่าลง

 | Aug 31, 2020 07:33

ภาพรวมตลาดประจำสัปดาห์:ตลาดหุ้นและทองคำกอดคอพากันขึ้นส่วนดอลลาร์อ่อนค่าลง

 

- ตลาดหุ้นอาจขึ้นต่อหลังเฟดสัญญาคงอัตราดอกเบี้ยต่ำนานและมีกลยุทธ์ปรับอัตราเงินเฟ้อใหม่
- ดอลลาร์ร่วงลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 2 ปีอีกครั้ง
- ทองคำจัดทัพเตรียมทดสอบจุดสูงสุดเดิมอีกครั้งส่วนบิทคอยน์ยังต้องรอดูสถานการณ์

 

หลังจากแถลงการณ์ของประธานกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ณ เมืองแจ็กสัน โฮลเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วแนวโน้มของราคาในแต่ละตลาดดูจะมีความชัดเจนขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดสัปดาห์ด้วยจุดสูงสุดใหม่อีกรอบขานรับข่าวดีที่เฟดจะเปลี่ยนกลยุทธ์อนุญาตให้เงินเฟ้อสูงกว่าระดับปกติได้เป็นครั้งคราวในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนมูลค่าลงสู่จุดต่ำสุดในรอบ 2 ปีอีกครั้ง

ดาวน์โหลดแอป
เข้าร่วมกับคนนับล้านที่ใช้ Investing.com เพื่อติดตามข่าวสารตลาดการเงินทั่วโลก
ดาวน์โหลดเดี๋ยวนี้

 

นับตั้งแต่ปัญหาเงินเฟ้อของประเทศในปี 1970 และ 1980 เป็นต้นมาเฟดก็ไม่เคยอนุญาตให้อัตราเงินเฟ้อขึ้นไปไกลกว่า 2% ได้อีกเลยซึ่งแถงการณ์ของนายเจอโรม พาวเวลล์ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1980 ที่อนุญาตให้อัตราดอกเบี้ยสามารถขึ้นเกิน 2% ได้บ้าง ส่วนอัตราดอกเบี้ยก็เป็นไปตามคาดของนักลงทุนที่มองว่าเฟดจะคงเอาไว้ที่เกือบแตะ 0% ไปอีกนาน

 

สาเหตุหลักที่เฟดตัดสินใจทำเช่นนี้เพราะต้องการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนในประเทศให้มีมากขึ้น นี่คือสาเหตุว่าทำไมเดือนสิงหาคมที่กำลังจะผ่านไปจะกลายเป็นเดือนสิงหาคมที่มีสถิติดีที่สุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในรอบ 34 ปี ส่วนสัปดาห์แรกแห่งเดือนกันยายนที่พึ่งมาถึงนี้เราเชื่อว่าแรงขาขึ้นที่ส่งมาจากเดือนสิงหาคมจะยังอยู่

 

ตลาดหุ้นขึ้น เศรษฐกิจกลับมาแต่การการจ้างงานยังไม่ดีเท่าที่ควร

 

ดัชนี NASDAQ ยังคงได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีใหญ่ๆ สร้างจุดปิดสูงขึ้นอีกเมื่อวันศุกร์ที่แล้วเช่นเดียวกันกับดัชนี S&P 500 ที่สามารถทำสถิติสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกันและดัชนีดาวโจนส์ที่ถึงแม้จะยังไม่สามารถขึ้นสูงกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลได้แต่ก็อยู่ห่างจากจุดสูงสุดนั้นเพียง 3.1% เท่านั้น อย่างไรก็ตามนักลงทุนบางส่วนยังเป็นกังวลกับแถลงการณ์ของเฟดที่แจ็กสัน โฮล เพราะการที่เฟดต้องตัดสินใจเปลี่ยนกลยุทธ์อัตราเงินเฟ้อและปล่อยอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ใกล้กับระดับ 0% หมายความว่าเฟดยังเป็นกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งๆ ที่ก็เห็นทุกวันว่าตลาดหุ้นและตัวเลขเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวต่อเนื่องอยู่เรื่อยๆ 

 

โดยภาพรวมระยะสั้นถือว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาแล้วในช่วง 3 เดือนล่าสุดซึ่งสามารถตีความได้เศรษฐกิจประเทศได้หลุดขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของโรคระบาดโควิด-19 เรียบร้อย ธนาคารกลางแอตแลนต้าคาดการณ์ว่าตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 จะเติบโตขึ้น 26% แม้อ่านดูแล้วเหมือนจะเป็นข่าวดีแต่เราต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้เรามีตัวเลข GDP ที่ถูกประเมินเอาไว้ว่ารายปีติดลบ 32% ซึ่งหากอ้างอิงข้อมูลจาดธนาคารแอตแลนต้าเท่ากับว่ามีการฟื้นตัวขึ้นมาเกินครึ่งของตัวเลข GDP ที่ลดลงไป อย่างไรก็ตามเมื่อลองเอาตัวเลข GDP ทั้งสองมาบวกลบกันจะพบว่า GDP ของประเทศยังติดลบอยู่ 5% ซึ่งตัวเลข GDP นี้ยังถือว่าต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดแต่ก็ฟื้นตัวได้มากกว่าที่เราคิดไว้เยอะ

 

ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ ดูดีขึ้นทั้งตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยใหม่และตัวเลขยอดขายที่อยู่อาศัยมือสองซึ่งตอนนี้ตัวเลขทั้งสองดีขึ้นกว่าตัวเลขก่อนช่วงโควิดเสียอีก ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็กำลังอยู่บนเส้นทางการฟื้นตัวด้วยเช่นกัน ตัวเลขยอดขายปลีกของเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นจากตัวเลขในเดือนมกราคม 1%  ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมดีขึ้นแต่ยังอยู่ต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม 8% แสดงให้เห็นถึงระดับอุปสงค์ที่ยังไม่กลับมาเต็มที่

 

อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีภาคแรงงานที่น่าเป็นห่วง อัตราการว่างงานยังอยู่สูง ชาวอเมริกันจำนวน 4 ล้านคนยังคงตกงาน ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกกลับมาขึ้นสูงเกิน 1 ล้านคนอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ที่ตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นชั่วคราวเป็นเพราะบางธุรกิจที่กลับมาเปิดกิจการได้และสามารถจ้างพนักงานเดิมกลับมาอีกครั้งแต่ธุรกิจที่อยู่ในภาคบริการยังไม่สามารถกลับมาได้อย่างเต็มรูปแบบเนื่องจากข้อจำกัดในการใช้บริการมากมาย บางคนที่ตกงานไปแล้วก็ไม่สามารถกลับมามีงานทำได้เหมือนเดิม ข้อมูลตัวเลขคนว่างงานถาวรของเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์เป็นสองเท่าซึ่งจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของความเชื่อมั่นผู้บริโภคภายในประเทศด้วย

 

บริษัทที่มีมูลค่าตลาดต่ำอาจได้โอกาสฉายแสงในปีหน้า

 

นอกจากดัชนีดาวโจนส์ที่กำลังตั้งฐานเพื่อมุ่งหน้าสู่ 30,000 จุดดัชนีรัสเซล 2000 ซึ่งรวมหุ้นของบริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดเล็กก็กำลังเตรียมจะวิ่งขึ้นตามด้วยเช่นกัน ในขณะหุ้นของบริษัทดังๆ เริ่มมีราคาที่แพงเกินเอื้อมการหันมาลงทุนในบริษัทขนาดเล็กที่มีอนาคตจะกลายเป็นเทรนด์ของการลงทุนภายในประเทศที่ได้รับความนิยมไปจนถึงปี 2021

 

หากขาขึ้นตามที่คาดการณ์เกิดขึ้นจริงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตลาดแสดงให้เห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช่วยเกื้อหนุนกันมากกว่าที่จะแข่งขันกันและจะเป็นการลบคำสบประมาทของทางฝั่งยุโรปที่กำลังเชื่อว่าเศรษฐกิจในยูโรโซนกำลังจะกลับมายิ่งใหญ่แทนสหรัฐฯ ได้เพราะยูโรโซนมีการจัดการโรคระบาดได้ดีกว่า