ทำไมการตื่นตัวตามบัฟเฟตต์และการผ่อนคลายทางการเงินจึงส่งผลดีต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์

 | Sep 15, 2020 12:02

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก: CQC

- วอร์เรน บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นของบริษัทผลิตก๊าซธรรมชาติ ทองคำและบริษัทในประเทศญี่ปุ่น
- บัฟเฟตต์มองว่านโยบายอัตราเงินเฟ้อใหม่เป็นเรื่องที่ดีและปรับพอร์ตไปลงทุนในแร่โลหะมากขึ้น
- ธนาคารหนีจากการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
- ทิศทางขาขึ้นของตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กำลังรออยู่ข้างหน้า

ดัชนีดอลลาร์สหรัฐวิ่งอยู่ในแนวโน้มขาลงมาตั้งแต่เดือนมีนาคมซึ่งมีสาเหตุมาจากการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด (FED) เพื่อต่อสู้กับภัยเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ไม่ใช่แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เท่านั้นแต่ธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกต่างจำเป็นต้องยอมลดมูลค่าของสกุลเงินตัวเองลงเพื่อเสริมสภาพคล่องทางเศรษฐกิจเอาไว้ก่อนซึ่งในแถลงการณ์ของประธานเฟดนายเจอโรม พาวเวลล์ที่แจ็คสัน โฮลก็ถือเป็นครั้งแรกที่เฟดยอมปล่อยอัตราเงินเฟ้อให้สามารถขึ้นเกิน 2% ได้บ้างเป็นครั้งคราวซึ่งก่อนหน้านี้เฟดไม่เคยดำเนินนโยบายทางการเงินเช่นนี้เลย

ดาวน์โหลดแอป
เข้าร่วมกับคนนับล้านที่ใช้ Investing.com เพื่อติดตามข่าวสารตลาดการเงินทั่วโลก
ดาวน์โหลดเดี๋ยวนี้

วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนในตำนานที่นักลงทุนทั่วโลกต่างรู้จักกันดีได้มีการขยับปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนจนเป็นที่น่าสนใจสำหรับวงการ แทนที่เขาจะใช้หุ้นในมือที่มีเพื่อต่อรองผลประโยชน์แต่เขากลับเลือกที่จะให้บริษัทเบิร์กเชียร์แฮทาเวย์ (NYSE:BRKa) ขายหุ้นของสายการบินและธนาคารออกไป ที่น่าสนใจก็คือว่าเงินที่วอรร์เรนได้มาจากการขายหุ้นเหล่านี้ออกไปนั้นพ่อมดทางการเงินในวัย 90 ปีได้เอาไปซื้อสะสมสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากการปรับนโยบายอัตราเงินเฟ้อเช่นสินทรัพย์ในกลุ่มพลังงาน แร่โลหะ และบริษัทในทวีปเอเชีย ในขณะเดียวกันสถาบันทางการเงินที่ปกติแล้วมักให้เงินสนับสนุนโปรเจคที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ต่างหอบเงินหนีออกจากธุรกิจเหล่านั้น

เมื่อตลาดลงทุนไม่ได้วิ่งอย่างที่ปกติเคยเป็นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้น ทุกสัญญาณบ่งชี้ไปที่ความเป็นไปได้ที่ราคาสินทรัพย์ที่อยู่ในแร่โลหะมีโอกาสปรับตัวขึ้นภายในไม่กี่เดือนหรือไม่กี่ปีข้างหน้า การตื่นตัวตามบัฟเฟตต์ของนักลงทุนเป็นเพียงสัญญาณการเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลงในตลาดลงทุนหลังจากปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกถูกท้าทายมากที่สุดว่ากำลังจะเริ่มต้นขึ้น

h2 วอร์เรน บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นของบริษัทผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติ ทองคำและบริษัทในประเทศญี่ปุ่น/h2

หลังจากที่บัฟเฟตต์ขายหุ้นของกลุ่มสายการบินและธนาคารออกไปแล้ว ข่าวแรกที่ออกมาจากบริษัทเบิร์กเชียร์แฮทาเวย์คือการซื้อสินทรัพย์ของบริษัทในกลุ่มพลังงานอย่างโดมิเนียน เอ็นเนอร์จี้ (NYSE:D) มูลค่าประมาณ $4,000 ล้านเหรียญสหรัฐและมีหนี้อยู่อีกประมาณ $6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ตอนนี้บัฟเฟตต์จะได้ส่วนแบ่ง 18% จากการซื้อขายก๊าซธรรมชาติระหว่างรัฐ การประกาศอย่างเป็นทางการนี้เริ่มขึ้นในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมหลังจากที่ราคาก๊าซธรรมชาติร่วงลงไปยังจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1995