ใครจะทำตลาดหุ้นผันผวนได้มากกว่ากันระหว่างยอดผู้ติดเชื้อกับวัคซีนต้านโควิด?

 | Nov 16, 2020 07:35

- ดัชนีหลักทั้ง 4 ของสหรัฐฯ ล้วนแล้วแต่ปรับตัวสูงขึ้นสร้างสถิติใหม่กันทั่วหน้า
- ดอลลาร์ยังคงอ่อนมูลค่าลงต่อเนื่อง

ถ้าจะให้พูดอย่างสั้นๆ ให้ได้ใจความที่สุดก็ขอบอกเลยว่าสัปดาห์นี้ความผันผวนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยที่เกี่ยวกับโรคระบาดโควิด-19 ที่แบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝั่งปัจจัยเชิงลบจะเกิดผลกระทบ เมื่อตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อแตะ 200,000 คนต่อวันได้สำเร็จในขณะที่ฝั่งข่าวดีคือความคืบหน้าเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับวัคซีนทั้งจากบริษัทไฟเซอร์และบริษัทอื่นๆ 

ดาวน์โหลดแอป
เข้าร่วมกับคนนับล้านที่ใช้ Investing.com เพื่อติดตามข่าวสารตลาดการเงินทั่วโลก
ดาวน์โหลดเดี๋ยวนี้

เมื่อวันศุกร์ที่แล้วดัชนี S&P 500 และ Russell 2000 ต่างสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้เมื่อนักลงทุนนำเงินมาลงทุนกับหุ้นวัฎจักรมากขึ้น ในสัปดาห์นี้นักลงทุนจะจับตาดูกันต่อว่าวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ (NYSE:PFE) และพาร์ทเนอร์ของเขาจะสามารถได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ได้เร็วที่สุดเมื่อไหร่ นี่คือสองปัจจัยหลักๆ ที่จะแข่งกันอย่างดุเดือดเพื่อชิงการครอบครองแนวโน้มหลักในตลาดหุ้นสหรัฐฯ สัปดาห์นี้

h2 นักลงทุนกล้ารับความเสี่ยงมากขึ้นเมื่อการลงทุนกระจายไปอยู่กับหุ้นวัฎจักรมากขึ้น/h2

นอกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะสามารถทำผลงานขาขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่แล้ว ตลาดหุ้นทั่วโลกหลักๆ อย่าง DAX ของเยอรมัน FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรและ Nikkei 225 ของญี่ปุ่นต่างก็สามารถปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกันได้ทั้งหมด  บนความหวังเดียวกันคือความใกล้ที่จะได้เห็นวัคซีนต้านโควิด-19 แล้ว สิ่งที่นักลงทุนตัดสินใจทำทันทีคือกล้าที่จะเสี่ยงกลับไปลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานเนื่องจากพิษโควิดเช่นลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงพยาบาล และธนาคาร นี่คือการกระทำที่ราวกันว่าพวกเขาพร้อมจะเสี่ยงเป็นผู้โชคดีแล้วหากวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพต้านโควิดได้จริง

นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจจะเป็นใจให้กับหุ้นวัฎจักรด้วย นี่อาจเป็นช่วงเวลาให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่แบกผลงานขาขึ้นของตลาดหลักทรัพย์มาตลอดทั้งปีได้มีโอกาสพักบ้างในขณะที่นักลงทุนกำลังใช้เงินไปกับการซื้อหุ้นวัฎจักรทั้งบริษัทเล็กใหญ่ในสหรัฐอเมริกา และที่อื่นๆ ทั่วโลก อย่างไรก็ตามเราก็อยากจะขอย้ำกับนักลงทุนของเราอืกครั้งว่ายังมีอีกหลายปัจจัยที่ยังต้องใช้เวลากว่าวัคซีนจะไปถึงมือทุกคนได้ทั่วโลกเช่น การทดลองใช้จริงในขั้นแรก การแจกจ่ายออกสู่ประชาชนชาวอเมริกัน การขนส่งไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกเพื่อให้มีภูมิต้านทานในระดับเดียวหรือใกล้เคียงกันหมด สำหรับตอนนี้ยังมีอีกหลายคำถามที่บริษัทไฟเซอร์เองก็ยังไม่สามารถให้คำตอบได้

อีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้คือสถานการณ์หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แม้บางรัฐจะยังมีการนับคะแนนอยู่และมีหลายรัฐที่ยังเป็นที่กังขาเกี่ยวกับการนับคะแนนผ่านจดหมาย ตลาดหุ้นก็แทบจะปักใจเชื่อไปแล้วว่าการบริหารในปี 2021 ต่อจากนี้จะเป็นพรรคเดโมแครตที่ได้ทำเนียบขาว และสภาล่างไปในขณะที่พรรคลีพับลิกันได้สภาสูง หมายความว่ากฎหมายภาษีในยุคของทรัมป์อาจจะสามารถอยู่ต่อไปได้ซึ่งอาจถือเป็นข่าวดีสำหรับบริษัทเอกชนในประเทศ ข่าวที่นักลงทุนควรติดตามเพราะอาจจะเปลี่ยนที่นั่งในสภากันได้คือการเลือกตั้งในวันที่ 5 มกราคมปี 2021 ที่จะเป็นการแข่งขันแย่งที่นั่งกันระหว่างตัวแทนทั้งสองพรรคในรัฐจอร์เจีย หากเดโมแครตชนะพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนทิศทางการควบคุมสภาในยุคของไบเดนได้ทันพิธีการรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมปี 2021

เรื่องสำคัญอีกหนึ่งเรื่องที่นักลงทุนยังต้องจับตาดูคือความคืบหน้าเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่สองที่จะยิ่งทวีความสำคัญขึ้นตามยอดผู้ติดเชื้อ หากมีข่าวร้ายใดๆ เกี่ยวกับการเมืองที่ส่งผลให้ต้องเลื่อนการเจรจาออกไปจนถึงเดือนมกราคมหรือนานกว่านั้นจะยิ่งทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดผันผวนมากยิ่งกว่าเดิม ในสัปดาห์ที่แล้วนักลงทุนยังไม่ได้สนใจปัญหาในภาพรวมเท่าไหร่ นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ดัชนีหลักอย่าง Russell 2000 และ S&P 500 ขึ้นไปไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลได้ ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์สามารถกลับขึ้นไปใกล้ถึงระดับเดียวกันก่อนที่จะร่วงลงมาเพราะโควิด เหลืออีกเพียง 0.3% เท่านั้นก็จะสามารถแตะจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ได้

มีเพียง NASDAQ Composite และ NASDAQ 100 เท่านั้นที่ดูเหมือนว่าจะทำผลงานแผ่วลงมาซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะอย่างที่ได้บอกไปว่านักลงทุนมีความกล้ามากขึ้นจึงโยกเงินออกจากหุ้นเทคโนโลยีกระจายความเสี่ยงไปยังกลุ่มอื่น มีเพียงหุ้นของบริษัทซูม (NASDAQ:ZM) เท่านั้นที่ยังทำผลงานได้ดีจากการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนมาเป็นทำงานอยู่ที่บ้าน ตั้งแต่การระบาดเริ่มขึ้นหุ้นของซูมก็ทำผลงานขาขึ้นได้อย่างถล่มทลาย 600% อย่างไรก็ตาม การเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก็ทำให้หุ้นของซูมปรับตัวลดลงมาเมื่อวันศุกร์ 5.85% ด้วยเช่นกัน