ทอง น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติจะทำเช่นไรต่อไปเมื่อดอลลาร์ไม่ได้อ่อนค่าอย่างที่คิด

 | Sep 08, 2021 04:32

ในช่วงบ่ายของวันอังคารที่ตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย เราพบว่าดอลลาร์สหรัฐพยายามที่จะชะลอการอ่อนค่าลงจากผลกระทบของตัวเลขการจ้างงานฯ เมื่อวันศุกร์ ความพยายามดังกล่าวส่งผลให้ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่เคยได้เปรียบจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐอย่างเช่น ทองคำ น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติปรับตัวลดลง เข้าสู่ภาวะความไม่แน่นอนอีกครั้ง

การรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนสิงหาคมเมื่อวันศุกร์สร้างความผิดหวังให้กับตลาดลงทุนเป็นอย่างมาก ตัวเลขการจ้างงานฯ ในเดือนสิงหาคมปรับเพิ่มขึ้นได้เพียง 235,000 ตำแหน่งเท่านั้น ห่างจากตัวเลขคาดการณ์ 733,000 ตำแหน่งมากถึง 70% แม้ว่าการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ตัวเลขการว่างงานกลับสามารถปรับตัวลดลงได้ 5.2% จากครั้งก่อน 5.4% ใกล้เคียงกับเป้าหมายตัวเลขการว่างงานที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ต้องการเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ (เฟดต้องการตัวเลขว่างงาน 4% หรือต่ำกว่านั้น)

ก่อนหน้าที่จะมีการรายงานตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯ ตลาดลงทุนค่อนข้างเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าต่อให้ตัวเลขการจ้างงานฯ จะเพิ่มขึ้นมาไม่ถึงตัวเลขคาดการณ์ แต่เฟดก็ยังจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ภายในเดือนนี้อยู่ดี เพราะสัญญาณทุกอย่าง (รวมถึงตัวเลขการจ้างงานในเดือนกรกฎาคม) ก็บ่งบอกแล้วว่าเศรษฐกิจอเมริกาสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้แล้ว จึงไม่มีเหตุผลอะไร (ในตอนนั้น) ให้คงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป แต่เมื่อตลาดได้เห็นตัวเลขการจ้างงานเมื่อวันศุกร์ พวกเขาก็เริ่มทำใจแล้วว่าอาจจะไม่ได้เห็นการประกาศลด QE จากธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นแน่

ในเดือนนี้นักลงทุนยังมีลุ้นที่จะได้เห็นว่าสุดท้ายแล้วเฟดจะลด QE เลยหรือไม่ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 21-22 กันยายน โดยปกติแล้วการประชุมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับนโยบายอัตราดอกเบี้ยและการเงินอื่นๆ จากเท่าที่ประเมินความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นตอนนี้ พวกเขาไม่คาดหวังให้การประชุม FOMC คราวนี้จะมีการปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัวขึ้นอีกแล้ว การจ้างงานเพิ่มขึ้นที่น้อยที่สุดในรอบเจ็ดครั้ง การระบาดของโควิดสายพันธุ์เดลตา ไม่มีเหตุผลใดที่จะเอาไปโต้แย้งกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เลย

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมาได้เป็นเพราะธนาคารในประเทศแคนาดาและออสเตรเลียจะเริ่มยืดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกไปในสัปดาห์นี้ ดังนั้นผู้คนจึงหันมาถือครองดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินสำรองอันดับหนึ่งของโลก