สัปดาห์นี้นักวิเคราะห์เชื่อตลาดลงทุนจะผันผวนรอฟังการประชุม FOMC ของสหรัฐฯ

 | Sep 20, 2021 04:29

เข้าสู้สัปดาห์ที่สามของเดือนกันยายนกันแล้ว ซึ่งเดือนนี้พฤติกรรมในตลาดลงทุนก็เป็นไปตามสิ่งที่เดือนกันยายนมักจะเป็น นั่นคือการเป็นเดือนที่ตลาดลงทุนมีปริมาณซื้อขายน้อย แต่สิ่งที่ทำให้สัปดาห์นี้น่าสนใจมากกว่าสัปดาห์อื่นๆ ของเดือนกันยายนคือการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้ทุกคนต้องกลับมาลุ้นกันอีกครั้งว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แล้วหรือไม่ 

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เดือนกันยายนก็เป็นเดือนที่ดัชนีหลักของสหรัฐฯ ล้วนแล้วแต่อยู่ในแนวโน้มขาลง เอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลดลง 0.6% ดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 0.1% และดัชนีเทคโนโลยีแนสแด็กปรับตัวลดลง 0.5%

หลังจากใช้มาตรการ QE มานานสิบแปดเดือน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือว่าเฟดได้ระบุว่าพร้อมที่จะลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ความเป็นไปได้ในการดำเนินนโยบายทางการเงินทั้งสองกลายเป็นเรื่องราวที่ถูกสร้างให้ใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ธนาคารกลางและรัฐบาลสหรัฐฯ แจกเงินง่ายๆ มาเป็นระยะเวลายาวนาน จึงไม่แปลกใจที่การประกาศแต่ละครั้งอาจดูตื่นเต้นมากพอที่จะสร้างคลื่นลูกใหญ่ในตลาดการเงินได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนกันยายนที่แสนจะซบเซา

จากความเป็นไปได้ทั้งหมดนั้น หลายบริษัทจึงได้แจ้งให้กับผู้ถือหุ้นได้เตรียมตัวเตรียมใจรับรายงานผลประกอบการที่อาจจะมีกำไรลดลง ซึ่งในสัปดาห์นี้จะเป็นคิวรายงานผลประกอบการของบริษัทผู้ผลิตวัสดุสำหรับก่อสร้างอย่างเช่น พีพีจี อินดัสทรี่ (NYSE:PPG) และเชอร์วิน วิลเลียม (NYSE:SHW) นักลงทุนต้องไม่ลืมว่าเรายังคงอยู่ในพายุซัพพลายเชนขาดแคลน และการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ว่ากลุ่มวัสดุก่อสร้างจะเป็นกลุ่มหุ้นเล็กๆ บนดัชนีเอสแอนด์พี 500 แต่พวกเขากลับมีความเชื่อมโยงทางธุรกิจกับอีกสิบกลุ่มที่กินสัดส่วนอย่างมีนัยสำคัญบนเอสแอนด๊พี 500

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง 2.1% และ 1.1% ตามลำดับ เมื่อพิจารณาภาพรวมของสัปดาห์ที่แล้ว ยิ่งเห็นว่าหุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างปรับตัวลดลง 3.2% ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลดลง 1.6% และยิ่งถ้าได้พิจารณากราฟแบบรายเดือนจะเห็นว่ากลุ่มวัสดุก่อสร้างร่วงลงมาแล้ว 4.4% และกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลดลงมา 3.5% จากผลงานในรอบสามเดือนล่าสุด หุ้นทั้งสองกลุ่มสร้างขาลง 0.9% และ 0.6% มีเพียงหุ้นกลุ่มพลังงานเท่านั้นที่ปิดติดลบเป็นเพื่อน

แต่สิ่งที่ทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลดลงไม่ได้มีแต่เฉพาะผลงานของหุ้นทั้งสามกลุ่มนี้เท่านั้น แต่ขาลง 0.9% เกิดขึ้นจากสัญญาซื้อขายในตลาดออปชั่นและฟิวเจอร์สรายไตรมาสหมดอายุสัญญา ซึ่งขาลงครั้งนี้มากพอที่จะส่งเอสแอนด์พี 500 ลงไปวิ่งต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 วันได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน