3 ประเด็นที่จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในสัปดาห์สุดท้ายของ Q3

 | Sep 27, 2021 04:32

สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนอาจจะทำให้นักลงทุนได้ตื่นเต้นตั้งแต่วันเปิดสัปดาห์ เมื่อความสนใจของทุกฝ่ายจะไปอยู่ที่มติการโหวตจากสภาสูงของสหรัฐฯ ว่าจะให้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดนสามารถเพิ่มเพดานหนี้เพื่อกู้เงินเพิ่มได้หรือไม่ หากมติที่ประชุมออกมาเป็นไม่ เราอาจจะได้เห็นการชัตดาวน์รัฐบาลบางส่วนเกิดขึ้นหลังจากวันที่ 30 กันยายนนี้ ประเด็นดังกล่าวสร้างความผันผวนให้กับตลาดหุ้นมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และคาดว่าจะเป็นธีมการลงทุนต่อในสัปดาห์นี้

และต่อให้รัฐบาลของโจ ไบเดนจะสามารถเอาตัวรอดจากการชัตดาวน์ไปได้ แต่ตลาดหุ้นก็ยังมีประเด็นให้จับตาต่อ นั่นคือเรื่องของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของจีน “เอเวอร์แกรนด์” (HK:3333) (OTC:EGRNY) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เอเวอร์แกรนด์พลาดโอกาสในการชำระหนี้อีกครั้ง สร้างความกังวลให้กับตลาดลงทุนว่านี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตทางการเงินรอบใหม่นับตั้งแต่วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ในปี 2008 

อย่าคิดว่าตลาดลงทุนจะปล่อยให้ได้หายใจ เพราะวันอังคารจะมีถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรสให้ได้จับตาต่อ ก่อนที่จะปิดท้ายสัปดาห์ด้วยการประกาศตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตของญี่ปุ่น ยูโรโซน แคนาดา และสหรัฐอเมริกา

หากคุณคิดว่าเดือนกันยายนเป็นเดือนที่แย่แล้ว เดือนตุลาคมที่กำลังจะมาถึงนี้อาจจะเป็นเดือนที่เลวร้ายยิ่งกว่า จากประวัตศาสตร์การลงทุนในตลาดหุ้น เดือนตุลาคมมักจะเป็นเดือนที่ตลาดปรับตัวลดลง จนนักลงทุนวอลล์สตรีทขนานนามช่วงเวลานี้ว่า “October Effect” นายแซม สโตฟออล หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดลงทุนแห่ง CFRA ได้นิยามเดือนตุลาคมเอาไว้ว่า “เดือนมหาวิปโยคแห่งตลาดหุ้น” ความผันผวนสูงขึ้น ขาลงที่เห็นจนชินตา นักลงทุนฝั่งตลาดหมีเข้ามายึดครองตลาดจะหลายเป็นเรื่องปกติไปโดยปริยาย

แซมไม่ได้กล่าวเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ เขาเห็นพฤติกรรมของตลาดที่เปลี่ยนไปจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยอินดิเคเตอร์ การที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาวิ่งต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน แสดงให้เห็นว่านักลงทุนบางส่วนได้เริ่มถอนเงินออกจากตลาดลงทุน จนเกิดเป็นจุดสูงสุดใหม่เรียบร้อยแล้ว

“ข้อมูลจากบริษัทจัดการสินทรัพย์เวลลิงตัน ชิลด์ระบุว่าเหลือหุ้นในตลาดนิวยอร์กอยู่ 59% เท่านั้นที่ยังสามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน (หรือที่หลายๆ คนเรียกกันว่าแนวโน้มขาขึ้น) สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คือสัญญาณของแนวโน้มขาลง โดยปกติแล้วหากตัวเลขเปอร์เซ็นต์นี้ลดลงจาก 80% เป็น 60% สุดท้ายแล้วมักจะลงเอยที่ต่ำกว่า 30%”

ข้อมูลจากเวลลิงตันยังระบุอีกด้วยว่าขาขึ้นที่เราเห็นในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดาวโจนส์และแนสแด็กในตอนนี้คือการแบกตลาดของบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่เท่านั้น ในขณะที่บริษัทขนาดกลางถึงเล็กพากันปรับตัวลงกันหมดแล้ว 

ดาวน์โหลดแอป
เข้าร่วมกับคนนับล้านที่ใช้ Investing.com เพื่อติดตามข่าวสารตลาดการเงินทั่วโลก
ดาวน์โหลดเดี๋ยวนี้