กลยุทธ์ทางธุรกิจของมอร์แกน สแตนลีย์อาจทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นในปี 2022

 | Sep 30, 2021 08:02

ถึงแม้ว่าหุ้นของธนาคารชื่อดังมอร์แกน สแตลลีย์ (NYSE:MS) จะให้ผลตอบแทน 124.5% ในปีที่ผ่านมา แต่หุ้นของมอร์แกนฯ กลับมีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 14.04 มากกว่าธนาคารคู่แข่งอีกอย้่งเช่นแบงก์ ออฟ อเมริกา (NYSE:BAC) เวลล์ ฟาร์โก (NYSE:WFC) และเจพี มอร์แกน (NYSE:JPM) เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยจะถูกปรับขึ้นทำให้ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาหุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ไม่ชะลอตัวก็ปรับฐานลดลง หากจะให้พูดง่ายๆ ก็คือความเคลื่อนไหวในระยะสั้นของหุ้นกลุ่มธนาคารตอนนี้อยู่ในมือของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะส่งสัญญาณอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกหรือไม่

แต่สำหรับการเติบโตในระยะยาว ตอนนี้มอร์แกน สแตนลีย์ได้มองภาพตัวเองเป็นผู้นำในธุรกิจการจัดการความมั่งคั่งผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ดังนั้นธนาคารชื่อดังแห่งนี้จึงได้ซื้อกิจการของบริษัท ETrade และ Eaton Vance เข้ามา เพื่อหวังว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาและปฏิวัติโลกการเงินให้ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีฟินเทคฯ มากขึ้น

ชาร์ลส์ สวาบ (NYSE:SCHW) หนึ่งในบริษัทการลงทุนและการจัดการด้านการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก มีอัตราส่วนเปรียบเทียบระหว่างราคาตลาดของหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) อยู่ที่ 22.17 ซึ่งหมายความว่าในแง่ของมูลค่า หุ้นของมอร์แกน สแตนลีย์ยังมีพื้นที่ให้เติบโต