มนุษย์จะทิ้งโลกความเป็นจริงไปอยู่ในเมต้าเวิร์สจริงหรือ?

 | Oct 26, 2021 07:59

คุณนึกถึงอะไรในทุกๆ ครั้งที่ได้ยินคำว่า “โลกเสมือนจริง” สำหรับคนรุ่นก่อน 90 พวกเขาคิดว่าสิ่งนี้คงเป็นได้เพียงโลกในอุดมคติ สำหรับคนยุค 2000 พวกเขามองว่าสิ่งนี้จะเปลี่ยนอนาคต แต่สำหรับวัยรุ่นยุคนี้ พวกเขามองว่าโลกเสมือนจริงคือสิ่งที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม 

หากศึกษาประวัติศาสตร์ เราจะเห็นว่าทุกครั้งที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเติบโตของอุตสาหกรรมที่รองรับเรื่องเหล่านั้นจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ชนิดที่เรียกได้ว่าเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้ทำให้เมืองแมนเชสเตอร์รุ่งเรืองแซงหน้าลิเวอร์พูลอย่างมหาศาล การเข้ามาของอินเตอร์เน็ตเชื่อมโลกทั้งใบเข้าด้วยข้อมูลข่าวสาร และการเกิดขึ้นของเมต้าเวิร์สว่ากันว่าจะเป็นการสร้างโลกดิจิทัลให้กลายเป็นโลกแห่งความจริง แม้กระทั้งผมที่กำลังเขียนบทความนี้อยู่ ก็ยังมองภาพไม่ออกว่าโลกเมต้าเวิร์สจะกลายเป็นโลกความจริงได้อย่างไร?

h2 เมต้าเวิร์สคืออะไร?/h2

จนถึงตอนนี้ยังไม่มีหนังสือเล่มใด หรือใครคนใดที่สามารถนิยามคำว่า “เมต้าเวิร์ส” (Metaverse) ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เมื่อถามว่าคำนี้คืออะไร ทุกคนจะมีภาพคร่าวๆ ว่าเมต้าเวิร์สคือส่วนผสมระหว่างโซเชียลมีเดีย เกมออนไลน์ และสกุลเงินดิจิทัล ที่กลายเป็น “ความเป็นจริงบนโลกดิจิทัล” ซึ่งการกระทำของคุณบนโลกใบนี้จะส่งผลกระทบถึงโลกความเป็นจริง

นิตยสาร Wall Street Journal ได้นิยามเมต้าเวิร์สเอาไว้ว่า

“แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่อยู่เหนือโลกแห่งความจริง ซึ่งผู้คนที่อยู่ในพื้นที่เสมือนจริงสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันได้อย่างเต็มที่ ผู้คนสามารถซื้อสินค้าในร้านค้าหรือไปงานคอนเสิร์ตกับเพื่อนๆ ได้ราวกับตัวเองได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ ในโลกความเป็นจริง”

อย่างไรก็ตาม มาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก CEO ของบริษัทเฟซบุ๊ก (FB) ที่ช่วงนี้มีข่าวเป็นอย่างมากว่ากำลังต้องการจะเปลี่ยนบริษัทให้กลายเป็นเมต้าเวิร์สกล่าวว่า การจะสร้างเมต้าเวิร์สให้เกิดขึ้นจริงจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์มหาศาล ทั้งการเขียนโค้ด การใช้เครื่องมืออุปกรณ์ฮาร์ตแวร์ต่างๆ

“เมต้าเวิร์สเป็นสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่คุณสามารถมีตัวตนได้จริงๆ กับคนอื่นๆ ในโลกดิจิทัลเดียวกัน คุณสามารถคิดว่าเมต้าเวิร์สเป็นอินเทอร์เน็ตที่คุณสามารถเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์ได้มากกว่าเพียงแค่เฝ้าดู เราเชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นเทคโนโลยีที่มาแทนอินเทอร์เน็ตบนมือถือ”

h2 เทคโนโลยีอยู่รอบตัวเราไปไกลได้มากกว่าที่คุณคิด/h2

เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล ถ้าผมซื้อบิทคอยน์มูลค่า 100 เหรียญในวันนั้น มันจะมีมูลค่ามากกว่า 120 ล้านเหรียญเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อมองย้อนกลับไป ผมละเลยแนวคิดที่ว่าวิดีโอเกมก็เป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง ผมดูลูกๆ ของผมเติบโตขึ้นมาด้วยเกม Super Mario และ Xbox รุ่นล่าสุด ในขณะที่ผมเลิกเล่นวิดีโอเกมหลังเลิกเรียนเพราะไม่มีเวลาทุ่มเทให้กับแพคแมนและเตอร์ติสอีกต่อไป

หากจะพูดว่าเมต้าเวิร์สคือโลกที่อยู่ไกลเกินเอื้อมของผมไปแล้วก็คงจะไม่ผิดนัก ผมยังพอเข้าใจได้ว่าทำไมบิทคอยน์ถึงมีค่าในฐานะสินทรัพย์สำรองปลอดภัย แต่เมื่อหันมาถามลูกๆ ผมที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่โลกเมต้าเวิร์ส ผมจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่ามนุษย์จะมีชีวิตอยู่ในโลกเสมือนจริง โดยที่ไม่ออกมาใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริงได้อย่างไร นี่มาถึงวันที่มนุษยชาติสามารถนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ แล้วเข้าไปทำงาน ใช้ชีวิต บนโลกเสมือนจริง แทนโลกความเป็นจริงแล้วอย่างนั้นหรือ

h2 วงการฟินเทคฯ คืออนาคต/h2

ต้องยอมรับความจริงว่าการถือกำเนิดขึ้นของเทคโนโลยีบล็อกเชนกำลังปฏิวัติการใช้งานเทคโนโลยีรวมศูนย์แบบเดิมๆ ให้กระจายตัวออกไปสู่ส่วนอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกันมากขึ้น บิทคอยน์และสกุลเงินดิจิทัลเป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของการทำระบบการเงินบนบล็อกเชนเท่านั้น ลองคิดดูว่าจะสะดวกสบายแค่ไหน หากในอนาคตคุณสามารถเข้าโรงพยายาลที่ไหนก็ได้ เพราะพวกเขามีฐานข้อมูลของคนไข้เหมือนกัน

สาเหตุที่คริปโตเคอเรนซี่กำลังเฟื่องฟูไม่ใช่แค่เฉพาะในเรื่องของความสะดวกสบายเท่านั้น แต่บล็อกเชนทำให้ผู้คนที่ใช้งานได้เห็นว่าเรื่องของการเงินไม่จำเป็นต้องพึ่งพารัฐอีกต่อไป ถ้าผู้ซื้อและผู้ขายตกลงซื้อขายสินค้ากันด้วยสกุลเงิน ABC การทำธุรกรรมก็สามารถเกิดขึ้นได้ มีหลักฐานรองรับ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาระบบการเงินที่นับวันมีแต่จะเสื่อมค่าลง เพราะการพิมพ์เงินออกมาแก้ปัญหาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น การใช้งานสกุลเงินดิจิทัลและการเชื่อในฟินเทคฯ คือหลักฐานยืนยันว่ามนุษยชาติได้วิวัฒนาการความรู้ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

แต่วิวัฒนาการนั้นต้องการเวลา เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าใจและยอมรับการใช้งานของสกุลเงินดิจิทัลได้ แต่จากการปรับตัวขึ้นมาเรื่อยๆ ของบิทคอยน์ ตั้งแต่วันที่มีมูลค่าห้าเซนต์ในปี 2010 วันที่มีตลาดฟิวเจอร์สเป็นของตัวเองครั้งแรกในปี 2017 และการมี ETF เป็นของตัวเองในปี 2021 แสดงให้เห็นว่าบิทคอยน์กำลังเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ