สรุปภาพรวมตลาดลงทุนในเดือนพฤศจิกายนปี 2021

 | Dec 02, 2021 09:54

หากจะให้สรุปเป็นประโยคสั้นๆ ว่าเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาตลาดลงทุนเป็นเช่นไร เราสามารถอธิบายได้ว่าเดือนพฤศจิกายนคือภาคต่อของเดือนตุลาคม ที่ทำสถิติฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้มากที่สุดของปี 2021 ถึงแม้ว่าขาขึ้นในพฤศจิกายนจะมีไม่มากเท่า แต่ภาพรวมตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบันถือว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำได้ค่อนข้างดี

สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ถึงแม้จะยังอยู่ในสภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ แต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ก็เริ่มประกาศให้เตรียมตัวกลับเข้าสู่สภาพปกติได้แล้ว (หมายถึงตรียมปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย) อัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้น จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง ค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยก็เพิ่มขึ้น ดัชนีหลักของสหรัฐฯ สามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง แนสแด็ก 100 ตั้งแต่ต้นเดือนมาจนถึงวันที่ 19 พฤศจิกายนสามารถปรับตัวขึ้นมาได้มากถึง 4.6% 

แต่เพราะชีวิตอันสงบสุขนั้นไม่มีความน่าสนใจ กระแสของตลาดลงทุนในช่วงครึ่งหลังของเดือนพฤศจิกายนจึงหันไปจับอยู่ที่ข่าวร้ายมากขึ้น เราได้เห็นข่าวความเดือดร้อนที่เกิดจากสภาวะเงินเฟ้อ  ราคาน้ำมัน อาหาร และที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเร็วเป็นจรวด แต่เท่านั้นไม่พอ ธรรมชาติก็ได้มอบของขวัญส่งท้ายปีให้กับมนุษยชาติไปแก้ปัญหาต้อนรับปีใหม่ด้วยการระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีนามว่า “โอไมครอน”

การมาถึงของข่าวโอไมครอนส่งให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงทันทีหลังจากวันหยุดขอบคุณพระเจ้า แม้ว่าวันจันทร์ที่ผ่านมาจะมีการปรับตัวกลับขึ้นไปได้บ้าง แต่จนถึงวันสุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน ความกังวลที่มีต่อการแพร่ระบาดครั้งนี้ก็เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะไป 

หากจะโทษว่าขาลงในช่วงก่อนปิดเดือนพฤศจิกายนเป็นความผิดของใคร เราก็คงต้องตอบว่าเชิญไปถามคุณสเตฟานี่ แบนเซิล CEO ของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนโมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA) ได้เลย เพราะเป็นเธอที่ออกมาพูดตรงๆ ว่าวัคซีนโมเดิร์นนาที่มีในตอนนี้อาจจะไม่สามารถต่อกรกับโควิดสายพันธุ์ใหม่ที่มีนามว่า “โอไมครอน” ได้ และอาจต้องใช้เวลาอีกสองสามเดือนในการพัฒนาวัคซีนตัวใหม่ ข่าวร้ายดังกล่าวทำให้นักลงทุนเทสินทรัพย์เสี่ยง และหันมากอดสินทรัพย์สำรองปลอดภัยทันที

อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ขาขึ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มทรุดตัวเกิดมาจากถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีต่อสภาคองเกรสในวันอังคาร หลังจากที่ได้ตำแหน่งประธานเฟดสมัยที่สองไปครองอย่างแน่นอนแล้ว เจอโรม พาวเวลล์ก็ได้ออกมากลับลำ ยอมรับว่าเงินเฟ้อไม่ใช่ปัจจัยชั่วคราวอีกต่อไป และเพื่อตอบโต้วิกฤตนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะหารือกันในการประชุมวันที่ 14-15 ธันวาคมนี้ว่าสมควรที่จะร่นระยะเวลาการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ให้เร็วขึ้น เพื่อที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ภายในช่วงครึ่งปีแรกของ 2022 หรือไม่

ถ้อยแถลงของเฟด สำหรับตลาดหุ้นหมายความว่าสภาพคล่องที่เคยล่อเลี้ยงขาขึ้นมาตลอดสองปีเต็มกำลังจะหมดลง และมีโอกาสจะหมดลงเร็วกว่าเดิมด้วย นั่นจึงทำให้นักลงทุนต่างพากันเทขายหุ้นในดัชนีหลักๆ ไม่ว่าจะเป็นแนสแด็ก 100 ที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้ ดัชนีของอุตสาหกรรมหลัก 30 แห่งของอเมริกาอย่างดาวโจนส์ เอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก ถึงกระนั้นหากมาดูผลของของดัชนีหลักตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงปัจจุบันก็ยังถือว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้น เอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้นมาทั้งหมด 21.6% ดาวโจนส์ 12.7% แนสแด็ก 20.6% และแนสแด็ก 100 คิดเป็น 25.2%

เราขอพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดขาลง 900 กว่าจุดของดัชนีดาวโจนส์เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายนสักเล็กน้อย ส่วนตัวแล้วเราวิเคราะห์ว่าเกิดจากสาเหตุอยู่ทั้งหมดสองประการ