สัปดาห์แห่งการจับตาผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 อย่างเป็นทางการ คาดหุ้นวัฐจักรโดดเด่น

 | Jan 17, 2022 03:30

หนังจากที่ช่องข่าวเศรษฐกิจมีแต่การรายงานผลกระทบจากโควิด-19 เงินเฟ้อ และความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในสัปดาห์นี้ความสนใจของนักลงทุนจะเปลี่ยนไปที่การรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2021 ที่ความจริงแล้วเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา นำทัพโดยหุ้นกลุ่มธนาคารตามธรรมเนียม

นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นจากประมาณการก่อนหน้า +20% โดยมีโอกาสเอาชนะตัวเลขคาดการณ์อยู่ที่ +25%-30% หุ้นในกลุ่มที่คาดว่าจะเติบโตได้ถึง 95-100% คือกลุ่มวัฐจักร อันประกอบไปด้วยพลังงาน วัสดุก่อสร้าง อุตสาหกรรม การเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค ในขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีที่เคยเติบโตมาตลอดสองปีก่อนหน้านี้จะปรับตัวลดลง

ในความเห็นของเรา มีโอกาสที่หุ้นในกลุ่มวัฐจักรจะกลายเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าในสายตาของนักลงทุน ทุกครั้งที่เศรษฐกิจเริ่มจะมีการขยายตัว หุ้นในกลุ่มเน้นมูลค่ามักจะให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นสายเติบโต สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าตลาดลงทุนกำลังเตรียมตัวที่จะเข้าสู่กับการต่อกรกับภาวะเงินเฟ้อ และครั้งนี้ ในปี 2022 จะเป็นปีแห่งการต่อสู้กับเงินเฟ้อที่รุนแรงที่สุดในรอบสี่ทศวรรษ ตามตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) แบบปีต่อปีในเดือนธันวาคมที่ 7% สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1982 การที่หุ้นสายเน้นมูลค่าถูกมองข้ามมาตลอดสองปี ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ หากว่าตอนนี้จะมีมูลค่าแพงขึ้นเพราะนักลงทุนได้เข้าซื้อในราคาที่ถูกลง เรียกได้ว่าตอนนี้ถึงเวลาที่หุ้นสายเทคฯ ที่เคยวิ่งมาตลอดสองปี ต้องได้พักเหนื่อยกันบ้างแล้ว

ถึงแม้ว่าสิ่งที่กล่าวไปข้างต้นจะเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในปี 2022 แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีหลักทั้งสามไม่ว่าจะเป็นเอสแอนด์พี 500 แนสแด็กและรัสเซล 2000 ต่างก็สามารถปิดบวกได้ มีเพียงดัชนีดาวโจนส์เท่านั้นที่จบสัปดาห์ด้วยการปรับตัวลดลง หุ้นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมากกว่า 5% เมื่อสัปดาห์ที่แล้วคือกลุ่มพลังงาน เนื่องจากการลดกำลังการผลิต และนอกจากหุ้นกลุ่มพลังงาน มีเพียงกลุ่มผู้ให้บริการด้านคมนาคมเท่านั้นที่สามารถปิดบวกได้ (0.16%) ส่วนหุ้นเทคฯ นั้นปิดติดลบ 0.1% 

อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารได้รายงานผลประกอบการไปแล้ว แต่ถึงตัวเลขผลประกอบการของธนาคารชื่อดังอย่างเจพี มอร์แกน (NYSE:JPM) เวลล์ ฟาร์โก (NYSE:WFC) และซิตี้ กรุ๊ป (NYSE:C) จะสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ (เพราะการคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย) แต่ราคาหุ้นกลับปิดสัปดาห์ที่แล้วด้วยการปรับตัวลดลง เหตุการณ์ที่น่าสนใจที่สุดคือหุ้นเจพี มอร์แกนร่วงลงประมาณ 6% หลังจากที่ CFO ของเจพี มอร์แกนกล่าวว่าค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเพราะเงินเฟ้ออาจทำให้ธนาคารไม่อาจทำตามเป้ามอบผลตอบแทนคืนจากเงินทุน 17%

เมื่อรายงานผลประกอบการของธนาคารถือว่าผ่านพ้นไปตามคาดของตลาด คำถามก็คือในสัปดาห์นี้หุ้นกลุ่มวัฐจักรจะขยับตัวขึ้นตามหรือไม่ และถ้าเป็นเช่นนั้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นตามด้วยหรือเปล่า?

อีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในวันศุกร์คือกราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีทะยานขึ้นสร้างจุดสูงที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2020 อัตราผลตอบแทนฯ ที่เพิ่มขึ้นนั้นเกิดมาจากการเทขายพันธบัตรรัฐบาล และเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นมาแน่ จะมีอะไรเป็นตัวบ่งชี้ได้ดีกว่าการขายพันธบัตรของประเทศที่ได้ชื่อว่ามีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจมากที่สุด เพื่อไปหาการลงทุนประเภทอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า