สามปัจจัยต้องจับตาประจำสัปดาห์: รายงานผลกำไร การประชุมธนาคารกลาง และนอนฟาร์ม

 | Jan 31, 2022 03:31

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และดาวโจนส์สามารถวิ่งกลับขึ้นมาปิดบวกได้อย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าผลงานทั้งสัปดาห์จะกลายเป็นการปิดติดลบครั้งแรกในรอบสามสัปดาห์ บางคนมองว่าขาลงครั้งนี้คือความสิ้นหวัง แต่ก็ยังมีคนที่คิดว่าเพียงความผันผวนที่ดีดกลับขึ้นมาในวันศุกร์ ก็มากพอที่จะเป็นความหวังให้นักลงทุนได้กลับไปปิดบวกก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะเริ่มการลดอัตราดอกเบี้ยจริงๆh2 กลยุทธ์การช้อนซื้อจะยังใช้ได้หรือไม่หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้ันมาจริงๆ?/h2

ภาพรวมดัชนีหลักของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เริ่มต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ปรากฎว่าดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาล 7.01% ซึ่งถ้าไม่นับขาขึ้นที่ดีดตัวกลับขึ้นไปนั้น เท่ากับว่าเอสแอนด์พีร่วงลงมาแล้วทั้งหมด 9.8% สัปดาห์ที่แล้วยังถือว่าโชคที่ดีดัชนีสามารถกลับมาปิดสัปดาห์เป็นบวกได้ 0.77% เพราะขาขึ้นในวันศุกร์เพียงวันเดียวสามารถขึ้นมาได้ทั้งหมด 2.43%

ดัชนีตัวถัดมาคือดาวโจนส์ ตั้งแต่ต้นปี 2022 มาจนถึงปัจจุบัน ดาวโจนส์ร่วงลงมาจากจุดสูงสุดในวันที่ 4 มกราคมแล้ว 7.17% แต่เพราะแรงดีดกลับขึ้นมา 1.34% ในสัปดาห์ที่แล้ว จึงทำให้ภาพรวมของดาวโจนส์คือการติดลบ 5.63% ในขณะที่ดัชนีวัดมูลค่าบริษัทขนาดเล็กถึงกลางอย่างรัสเซล 2000 กลับปิดติดลบมากที่สุดถึง 19.41% จากจุดสูงสุดล่าสุด ดีดตัวกลับขึ้นมา 1.26% ในวันศุกร์จนทำให้ภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้วสามารถกลับมากลายเป็นบวกได้ 0.98%

ดัชนีที่คนพูดถึงมากที่สุดคือดัชนีที่เคยสร้างขาขึ้นอย่างยอดเยี่ยมมาตลอดสองปีล่าสุด ‘แนสแด็ก’ ดัชนีดังกล่าวปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ด้วยการทำขาขึ้น 3.13% กู้สถานการณ์ให้ภาพรวมตลอดทั้งสัปดาห์สามารถกลับมาปิดบวกได้ 0.11% แต่หากนับจากจุดสูงสุดในวันที 10 พฤศจิกายนปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน จะพบว่าแนสแด็กร่วงลงมาแล้วทั้งหมด -12.71% 

ถามว่าภาพรวมของดัชนีหลักทั้งสี่กำลังบอกอะไรกับตลาดลงทุน? เราให้คำตอบได้สองประการ

1.) ดัชนีที่เคยเติบโตมากที่สุดของปี 2021 อย่างรัสเซล 2000 และแนสแด็กในวันนี้กลับเป็นสองดัชนีที่ร่วงลงหนักที่สุด
2.) ถึงแม้ว่าดาวโจนส์และรัสเซล 2000 จะได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์เหมือนกัน แต่เพราะดาวโจนส์มีสัดส่วนของหุ้นยักษ์ใหญ่มากกว่า และบริษัทเหล่านั้นก็สามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่า จึงช่วยดึงมูลค่าของดัชนีดาวโจนส์ให้กลับขึ้นไปได้มากกว่า เมื่อเทียบกับรัสเซล 2000 ที่มีแต่บริษัทขนาดเล็กและขนาดกลาง

อีกหนึ่งคำถามสำคัญที่เรามองว่านักลงทุนควรตอบตัวเองให้ได้โดยเร็วที่สุดคือการดีดตัวกลับมาในวันศุกร์ที่แล้ว สมควรพิจารณาว่าเป็นโอกาสเข้าช้อน อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาตลอดในปี 2021 หรือไม่ ในวันที่สถานการณ์เปลี่ยนไปจากกลายผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน เป็นความเป็นไปได้ที่อาจมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4-5 ครั้งภายในปี 2022 ด้วยเหตุผลข้อนี้ จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล และเป็นไปได้หากตลาดหุ้นในปีนี้จะวิ่งไม่เหมือนกับปี 2021 อีกแล้ว

หากพิจารณาเป็นการได้ผลตอบแทนเป็นทวีคุณ ตอนนี้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 มีมูลค่าผลตอบแทนทวีคุณอยู่ที่ 19.5 เท่า ลดลงมาจาก 22 เท่าที่เคยทำได้ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ตัวเลข 19.5 เท่านี้ลงมาใกล้กับค่าเฉลี่ยในรอบห้าปีแล้วที่ 18.5 เท่า นักวิเคราะห์บางสำนัก (รวมถึงบาร์เคลย์) จึงยังไม่เชื่อว่าแรงขาลงที่อยู่กับตลาดตอนนี้เป็นโอกาสเข้าซื้อ และพวกเขาเชื่อว่ายังมีโอกาสที่ดัชนีหลักจะลงไปอีก 8% จากระดับราคาในปัจจุบัน

หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกมาตอกย้ำถึงการทำนโยบายการเงินให้มีความตึงตัวมากขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลก็ดีดตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ขานรับความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้่ย ซึ่งจะทำให้ต้นทุนและหนี้ของบริษัทมีตัวเลขที่แพงขึ้น และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนจึงไม่อยากลงทุนกับหุ้นที่มีราคาสูงในช่วงที่จะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย