ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ สัปดาห์นี้: เงินเฟ้อ รัสเซียยูเครน และรายงานการประชุมเฟด

 | Feb 14, 2022 03:39

ตามความเห็นของเรา ไม่คิดว่าปัจจัยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาจะมีอะไรเปลี่ยนไป ซ้ำร้ายปัจจัยกดดันเหล่านั้นอาจจะยิ่งทวีความรุนแรง เพิ่มความผันผวนให้กับตลาดลงทุน การสนทนาสายตรงระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดนและผู้นำรัสเซียวลาดิเมียร์ ปูติน เมื่อวันเสาร์ไม่มีความคืบหน้าใดเกิดขึ้น และที่ร้ายไปกว่านั้นคือนอกจากอเมริกาที่สั่งให้ประชาชนของตนออกจากยูเครน ตอนนี้สหราชอาณาจักรก็ได้มีการดำเนินการตามสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน

การเทขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา สะท้อนมุมมองที่นักลงทุนมีต่อตลาดลงทุนได้เป็นอย่างดี ภายในช่วงเวลาที่รายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเริ่มหมดความน่าสนใจ กลับมาเกิดเหตุการณ์ที่ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือมาตรวัดเงินเฟ้อทะยานขึ้นสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 1982 โดยที่ตัวเลข CPI ประจำเดือนมกราคมปรับตัวขึ้นอีก 0.6% ทำให้ตัวเลขเงินเฟ้อแบบปีต่อปีเพิ่มขึ้นเป็น 7.5% ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ก็ปรับตัวขึ้น 6% เอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ด้วยเช่นกัน

ในขณะเดียวกัน อัตราค่าจ้างที่แท้จริงของสหรัฐฯ ก็ปรับตัวขึ้น 0.1% และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกที่ปรับตัวลดลงมาเป็น 223,000 คนจากตัวเลขคาดการณ์ 230,000 คน ได้สนับสนุนปัญหาเงินเฟ้อให้รุนแรงขึ้น แน่นอนว่าการจ้างงานเพิ่มขึ้น และคนตกงานลดลงถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกเช่งนั้นแต่เดิมก็ถือว่าเป้นเงินเฟ้ออ่อนๆ เมื่อผู้คนทำงานเพื่อต้องการค่าจ้างที่มากขึ้น ก็จะเป็นการเพิ่มราคาสินค้าไปในตัวด้วย

ถึงแม้ว่าในเดือนก่อน ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะได้ออกมาพูดว่าจำนวนครั้งในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจไม่ได้มากอย่างที่ตลาดกำลังประเมินกันอยู่ในตอนนี้ แต่คำถามก็คือเมื่อเห็นตัวเลข CPI ออกมาสูงขนาดนี้ พวกเขาจะยังรักษาสัญญานั้นเอาไว้ได้อีกหรือ? ความคิดเช่นนี้ยิ่งมีแต่ทำให้นักลงทุนขาขึ้นเกิดความลังเล ที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยิ่งตัวเลขเงินเฟ้อสูงมากเท่าไหร่ ตลาดยิ่งเชื่อว่ามีโอกาสที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบรุนแรงมากเท่านั้น และหากแรงเกินไป ผลกระทบอาจกลายเป็นว่าทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอยรวดเร็ว และนั่นก็อาจจะนำไปสู่การเทขายในตลาดหุ้นครั้งใหญ่

ความลังเลของนักลงทุนในตลาดตอนนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากเราจะเห็นดัชนีหลักทั้งสี่ไม่ว่าจะเป็นเอสแอนด์พี 500  แนสแด็ก ดาวโจนส์และรัสเซล 2000 ร่วงลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และดัชนีที่ร่วงลงหนักที่สุดคือแนสแด็ก 100 ที่ร่วงลงมากถึง 3.07% อันดับที่สองตกเป็นของเอสแอนด์พี 500 ด้วยขาลง 1.9% ตามมาด้วยอันดับสามอย่างดัชนีดาวโจนส์ 1.43% และรัสเซล 2000 ลงน้อยที่สุด 0.89% กลุ่มหุ้นที่ร่วงลงมากที่สุดคือเทคโนโลยี 3.05% ส่วนกลุ่มที่ขึ้นมาที่สุดคือพลังงาน 2.91%