หุ้นสายป้องกันยังคงโดดเด่นท่ามกลางสภาพเงินเฟ้อและปัญหาการเมืองที่ไม่มีความชัดเจน

 | Apr 18, 2022 04:39

หลังจากที่นักลงทุนชาวไทยได้หยุดไปเต็มๆ เกือบหนึ่งเก้าวัน สัปดาห์นี้ก็ถึงเวลากลับเข้าสู่โลกความเป็นจริงซึ่งเราเชื่อว่าธีมหลักก็จะยังคงเป็นเงินเฟ้อ และปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ที่ยังไม่สามารถหาความแน่นอนให้กับนักลงทุนได้ จะยังคงเป็นภาพรวมการลงทุนหลักต่อไป นั่นจะทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถูกเทขาย และนักลงทุนก็จะหันไปถือครองหุ้นสายป้องกัน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอีกเช่นเคย

สัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งท้ายการลงทุนด้วยการปิดตลาดติดลบ กลุ่มหุ้นบนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ส่วนใหญ่ปิดติดลบ ยกเว้นเฉพาะหุ้นกลุ่มพลังงานที่สามารถปิดบวกได้ 0.33% ตามมาด้วยกลุ่มสาธารณูปโภคที่รอดจากแดนลบมาได้อย่างหวุดหวิด กับขาขึ้นรวมแล้วตลอดทั้งสัปดาห์เพียง 0.05%

จากน้อยไปหามาก กลุ่มหุ้นที่ปิดติดลบในสัปดาห์ที่แล้วน้อยที่สุดคือกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็นด้วยตัวเลขติดลบ 0.03% โดยปกติแล้วหุ้นกลุ่มนี้มักจะรอดเพราะถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่สามารถใช้ป้องกันความเสี่ยงได้ แสดงให้เห็นความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจอเมริกา ณ  ปัจจุบัน กลุ่มหุ้นตัวต่อมาที่ปิดติดลบคือกลุ่มอุตสาหกรรมด้วยตัวเลข -0.11% ตามมาด้วยกลุ่มวัสดุก่อสร้าง -0.34% กลุ่มผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร -1.7% และที่ลบหนักที่สุดคือหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ติดลบมากที่สุดถึง 2.43%

ยิ่งหากได้พิจารณาภาพรวมของกลุ่มหุ้นตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้วจะยิ่งเห็นความชัดเจนของขาลงมากยิ่งขึ้น หุ้นกลุ่มเทคฯ ปิดติดลบมากที่สุดถึง 5.13% ตามมาด้วยกลุ่มผู้ให้บริการด้านการสื่อสาร -2.78% มีเพียงสามกลุ่มเท่านั้นที่สามารถปิดเป็นบวกได้คือกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าจำเป็น +0.57% กลุ่มวัสดุก่อสร้าง +1.27% และกลุ่มพลังงาน +3.17% สาเหตุของความผันผวนในครั้งนี้ก็ยังคงหนีไม่พ้นข่าวสงครามรัสเซียยูเครน ที่ยังคงผลักดันให้ราคาพลังงานปรับตัวขึ้นท่ามกลางความวิตกกังวลว่าซัพพลายเชนสินค้าโภคภัณฑ์จะขาดแคลน

ณ จุดๆ นี้หากจะฝืนเชื่อว่าหุ้นกลุ่มเทคฯ ยังคงเป็นบวกอยู่ ก็คงมีแต่จะต้องพิจารณาจากกราฟรายปีและรายห้าปีเท่านั้น ที่ยังคงปิดบวก 4% ตลอดระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด และ 180% สำหรับกราฟห้าปี ในขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานนั้น เฉพาะภาพรวมตลาดแค่หนึ่งปีก็สามารถปิดบวกได้มากถึง 62.33% 

h2 เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ความไม่แน่นอนยิ่งเติบโตในตลาดที่ไร้กลุ่มหุ้นให้ยึดเหนี่ยว/h2

การยอมรับความจริงแบบไม่พูดออกมาตรงๆ ของธนาคารกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ไม่ใช่เรื่องชั่วคราวอีกแล้วยิ่งทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์ สตรีทเป็นกังวล ธนาคารยักษ์ใหญ่หลายแห่งได้ออกมาพูดในทำนองที่คล้ายกันว่าเฟดต้องรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้มากกว่านี้เพื่อสกัดการเติบโตของเงินเฟ้อ ซึ่งกลายเป็นความท้าทายของตลาดการเงินทั่วโลกไปเป็นที่้รียบร้อย สภาวะซัพพลายเชนขาดแคลน ตามด้วยสงครามยุโรปครั้งใหญ่ครั้งแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยิ่งอาจเป็นอันตรายมากขึ้นเมื่อมอสโกเริ่มขู่เปิดศึกนิวเคลียร์ครั้งแรก

นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จงใจที่จะเพิกเฉยต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่จะก้าวเข้ายอมรับแบบอ้อมๆ ว่าสายเกินไปที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้ออย่างชัดเจน ข้อโต้แย้งนี้เชื่อว่าเฟดจะทำได้เพียงไล่ตามเงินเฟ้อมากกว่าที่จะแซงหน้าสกัดได้ หากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะกลายเป้นช่วยสมทบให้เงินเฟ้อเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น ความกังวลเหล่านั้นแสดงออกผ่านตลาดอย่างชัดเจนเมื่อหุ้นและพันธบัตร ซึ่งมักจะเป็นตัวแทนขั้วตรงข้ามของวัฏจักรเศรษฐกิจ ได้ร่วงลงมาพร้อมกัน แม้แต่เส้นอัตราผลตอบแทนระยะสั้นและยาวก็ได้ส่งสัญญาณที่ทำให้เชื่อได้ว่าคนไม่มั่นใจกับเศรษฐกิจระยะยาวอีกแล้ว เมื่อเกิดสภาวะอย่าง inverted yield curve ขึ้น

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เราจะได้เห็นภาพของกราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีทะยานขึ้นยืนเหนือ 2.8% ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2018 นี่คือการส่งสัญญาณเตือนไปยังนักลงทุนในตลาดหุ้น เพราะยิ่งอัตราผลตอบแทนฯ ขึ้นแรง ยิ่งหมายถึงความเชื่อว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ที่รุนแรงมากกว่านี้