เมื่อความกังวลเงินเฟ้อสั่นคลอนความเชื่อมั่นที่มีต่อธนาคารกลาง ตลาดพันธบัตรจึงผันผวน

ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนนี้นักลงทุนในตลาดพันธบัตรรัฐบาลถึงดูสับสนมึนงงเอามากๆ ก็จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อคนที่มาจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เอาแต่พูดว่าอย่าไปเชื่อหลักฐานที่มาจากพฤติกรรมราคาในตลาด แต่ควรจะเชื่อว่าปัญหาเงินเฟ้อเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว ควรจะเชื่อมั่นในพวกเขาแม้ว่าจะดำเนินนโยบายการเงินได้ล่าช้าเพียงใดก็ตาม และควรจะเชื่อมั่นว่าธนาคารกลางจะสามารถจัดการกับเงินเฟ้อในตอนนี้ พร้อมกับพาเครื่องบินเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลงจอดได้อย่างปลอดภัย

ก็เพราะว่าเฟดเอาแต่พูดในสิ่งที่สวนทางกับความเป็นจริงเช่นนี้ จึงทำให้นับวันความน่าเชื่อถือของคนจากในธนาคารกลางยิ่งลดลงมากขึ้นเรื่อยๆ ความจริงเริ่มปรากฎให้เห็นเด่นชัดขึ้นเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเอาแต่วิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนความกังวลที่มีต่อภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ล่าสุดสัปดาห์นี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีสามารถขึ้นแตะ 3.2% ได้แล้ว ก่อนที่จะย่อตัวลดลงมาวิ่งอยู่ที่ 2.9% โดยประมาณ

แต่ถึงสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ เหล่าบรรดาคนจากในเฟดก็ยังคงเดินสายปล่อยวาทะกรรมว่า “เงินเฟ้อถึงจุดสูงสุดแล้ว” “เงินเฟ้อเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว” ต่อไป ไม่แคร์สื่อที่พยายามจะตอกย้ำให้ยอมรับถึงความเสี่ยงที่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ที่สำคัญพวกเขายังทำเมินกับคำว่าภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจด้วยในทุกครั้งที่ถูกถาม 

ตอนนี้หลักฐานเดียวที่ตลาดพอจะเอาไปต่อสู้สงครามน้ำลายกับเฟดได้คือรายงานตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ ซึ่งจะประกาศออกมาในเวลา 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ถ้าหากตัวเลขแบบปีต่อปีของวันนี้ออกมาต่ำกว่า 8.1% ในเดือนมีนาคม (ตัวเลขคาดการณ์คือ 8.5%) ก็อาจจะทำให้เฟดพูดด้วยความั่นใจได้มากขึ้น และอาจทำให้ราคาน้ำมันในสหรัฐฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

สิ่งที่ตลาดลงทุนจะให้ความสนใจมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในวันนี้คือรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ที่ไม่รวมราคาพลังงานและอาหารเข้ามาคำนวณด้วย นักวิเคราะห์หวังว่าตัวเลขนี้ในเดือนเมษายนจะลดลง เพราะสิ่งที่จะทำให้ตลาดลงทุนหยุดผันผวนได้ คือนักลงทุนต้องเลิกสนใจราคาพลังงาน ซึ่งก็มีเพียงวิธีเดียวคือต้องให้ราคาปรับตัวลดลงมา และเพราะจะมีตัวเลขที่มีความสำคัญมากเช่นนี้ประกาศออกมา จึงทำให้นักลงทุนบางส่วนถอยออกจากตลาดมาตั้งหลัก และเป็นเหตุให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลงมาจาก 3.2% ชั่วคราว เพื่อรอช่วงค่ำของวันนี้

ขาลงในตลาดหุ้นที่กินระยะเวลามาพอสมควรกำลังเป็นการบั่นทอนภาพความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจอเมริกา เพราะนั่นหมายถึงความสามารถในการลงทุน และการบริโภคที่ลดลง การเทขายสินทรัพย์เสี่ยง และหันไปพึ่งพาสินทรัพย์สำรองปลอดภัยมากขึ้น หากไม่ใช่สัญญาณบ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว ก็ต้องเป็นการชะลอตัวของการบริโภคอย่างรุนแรง หรือถ้าธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังจะปฏิเสธสองคำนี้อีก เราก็สามารถพูดได้ใช่หรือไม่ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่สัญญาณที่ดีแน่นอน

h2 ปัญหาเงินเฟ้อกำลังกดดันให้ธนาคารกลางในยุโรปเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย/h2

ดาวน์โหลดแอป

เข้าร่วมกับคนนับล้านที่ใช้ Investing.com เพื่อติดตามข่าวสารตลาดการเงินทั่วโลก

ดาวน์โหลดเดี๋ยวนี้

การยอมรับความเป็นจริงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรเลย เพราะธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% ในสัปดาห์ที่แล้ว พร้อมกับแถลงด้วยตัวเองว่าตัวเลขเงินเฟ้อในระดับสองหลักกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจจะมาถึงได้ในไม่ช้า แต่เมื่อ BoE ยอมรับความจริง กลับกลายเป็นว่าค่าเงินปอนด์ของอังกฤษกลับมีความอ่อนไหวน้อยกว่าสกุลเงินอื่น

ก่อนหน้าที่จะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% ธนาคารกลางอังกฤษก็เคยต้องเจอกับความผันผวนในตลาดพันธบัตรรัฐบาลไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษอายุ 10 ปีพึ่งจะขึ้นยืนเหนือ 2.07% ได้ ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาวิ่งอยู่ต่ำกว่า 2% เมื่อวันอังคาร

ในช่วงเวลาเดียวกัน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเยอรมันอายุ 10 ปีก็ได้ขยับขึ้นเกือบถึง 1.2% ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมายัง 1.05% ในวันอังคาร โยอาคิม นาเจล (Joachim Nagel) ประธานธนาคารกลางเยอรมันและสมาชิกสภาปกครองของธนาคารกลางยุโรปกล่าวเมื่อวานนี้ว่า ECB ควรเริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคมนี้ และหยุดแผนซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพิ่ม หากเห็นว่าตัวเลขเงินเฟ้อยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

โอลลี เรห์น (Olli Rehn) ประธานธนาคารกลางฟินแลนด์ ก็สนับสนุนให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคมด้วยเช่นกัน น่าแปลกใจที่โอลลีเห็นด้วยกับความคิดนี้ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขามักชอบสนับสนุนนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย โอลลีให้เหตุผลว่าเพราะความเสี่ยงสงครามรัสเซียยูเครนอาจจะทำให้เงินเฟ้อเร่งตัวแรงขึ้น เขาไม่อยากให้ความคาดหวังเงินเฟ้อกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยากในอนาคต

เขียนโดย: Investing.com