ดอลลาร์อาจปรับฐาน นักลงทุนจับตาผลประกอบการกลุ่มบริษัทค้าปลีกที่เหลือ

 | May 23, 2022 04:43

ผลกระทบของปัญหาเงินเฟ้อสะท้อนให้เห็นผ่านรายงานผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Target (NYSE:TGT) หนึ่งในค้าปลีกยักษ์ใหญ่รายงานผลประกอบการเมื่อวันพุธที่แล้ว ด้วยตัวเลขผลกำไรที่ไม่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ ทำให้ราคาหุ้นบริษัทปรับตัวลงภายในวันเดียว 25% และปรับตัวลดลงต่ออีก 3.2% ในวันต่อมา เช่นเดียวกัน Walmart (NYSE:WMT) อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ในด้านค้าแลีก ซึ่งรายงานผลประกอบการไปเมื่อวันอังคารที่แล้ว ได้พบว่าหุ้นบริษัทตัวเลขปรับตัวลดลงเกือบ 19% มาตลอดทั้งสัปดาห์ ก่อนจะฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้บ้างในวันศุกร์

นี่คือขาลงที่หนักที่สุดของหุ้นยักษ์ใหญ่ค้าปลีกนับตั้งแต่ปี 1987 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าบริษัทเหล่านี้ไม่สามารถทำกำไรให้เติบโตขึ้นได้ ในยุคที่เงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบสี่สิบปี ดังนั้น นักลงทุนจึงจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับบริษัทค้าปลีกชื่อดังอื่นๆ ที่เหลือ ที่จะรายงานผลประกอบการในสัปดาห์นี้ไม่ว่าจะเป็น Costco (NASDAQ:COST), Best Buy (NYSE:BBY), Nordstrom (NYSE:JWN), Macy’s (NYSE:M), Dollar Tree (NASDAQ:DLTR), Ulta Beauty (NASDAQ:ULTA), Dick’s Sporting Goods (NYSE:DKS) และ Dollar General (NYSE:DG)

สิ่งที่เกิดกับรายงานผลกำไรของยักษ์ใหญ่ค้าปลีกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทำให้ตลาดลงทุนตกใจอยู่พอสมควร เพราะก่อนหน้านี้รายงานตัวเลขค้าปลีกล่าสุดก็ยังสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 0.9% แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น คำถามคือทำไมบริษัทค้าปลีกชั้นนำถึงไม่สามารถมีกำไรได้ ในขณะที่การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น? หรือว่าตัวเลขค้าปลีกครั้งล่าสุดเป็นตัวเลขที่ไม่ถูกต้อง? 

ผลกระทบของรายงานผลประกอบการครั้งนี้ทำให้หุ้นของบริษัท Amazon (NASDAQ:AMZN) ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งวงการค้าปลีกร่วงลงตามไปด้วย เนื่องจากนักลงทุนเชื่อว่าสถานการณ์ของแอมาซอนก็คงจะไม่ต่างกับ Target และ Walmart และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ในสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลง ในขณะเดียวกัน หุ้นของห้างสรรพสินค้า Macy ได้ปรับตัวลดลง 10.7% และหุ้นของ Best Buy ก็ร่วงลง 10.8% จนทำให้หุ้นของทั้งส่วนร่วงลงไปวิ่งต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์