กราฟเด่นประจำวัน: ทำไมค่าเงินรูปีของอินเดียถึงกำลังมุ่งหน้าสู่ระดับต่ำสุดใหม่

วันนี้เวลา 12:30 AM EDT จะมีการประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางอินเดีย แม้ว่าตลาดลงทุนจะเชื่อว่าธนาคารกลางของอินเดียอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอยู่ในกรอบระหว่าง 25 - 50 จุดเบสิส แต่นั่นก็ไม่ใช่จุดที่นักลงทุนให้ความสำคัญอีกแล้ว เมื่อพวกเขาปักใจเชื่อไปแล้วว่าการกระทำหรือการตัดสินใจของธนาคารกลางอินเดียในวันนี้จะเป็นสิ่งที่ไม่ได้ช่วงพยุงค่าเงินของประเทศมากเท่าไหร่นัก 

ความเชื่อของนักลงทุนนั้นสะท้อนออกมาผ่านค่าเงินรูปีของอินเดียที่ลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคของกราฟ USD/INR ก็ยิ่งเห็นความเป็นไปได้ที่กราฟอาจจะกำลังมุ่งหน้าขึ้นสร้างจุดสูงสุดใหม่

จากรูปจะเห็นว่ากราฟ USD/INR ได้หลุดกรอบสามเหลี่ยมรูปธงขึ้นมาแล้ว การทะลุขึ้นมาอย่างรุนแรงส่งสัญญาณว่ามีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นต่อในเร็วๆ นี้ ปัจจัยที่ก่อให้เกิดการวิ่งทะลุกรอบสามเหลี่ยมขึ้นมาเพราะนักลงทุนได้ล็อกจุดที่ต้องการทำกำไรเอาไว้อยู่ก่อนแล้ว หลังจากที่ราคาปรับตัวขึ้น นักลงทุนก็รีบปิดคำสั่งซื้อขาย และดึงเงินออกจากตลาดทันที ทำให้ขาขึ้นต้องชะงักอยู่กลางทาง พักฐานและรอดูอยู่ว่าจะตัดสินใจต่อไปอย่างไร

สาเหตุที่กราฟ USD/INR ไม่เลือกที่จะปรับตัวลดลง แต่กลับวิ่งขึ้นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่าคนยังมีความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมากกว่า และความเชื่อมั่นนั้นมีสูงมากถึงขนาดที่จุดๆ กรอบสามเหลี่ยมนี้เกือบจะจบด้วยการปรับตัวลดลงมาแล้ว แต่ก็มีแรงซื้อเข้ามา จนกระชากราคาออกจากกรอบสามเหลี่ยมในทิศทางขาขึ้น อย่างที่เราเห็นในตอนนี้ 

การปรับตัวขึ้นจนทะลุกรอบสามเหลี่ยมนี้สามารถตีความได้อีกอย่างหนึ่งว่า นักลงทุนขาขึ้นเต็มใจที่จะเข้าไปถือซัพพลายเงินดอลลาร์ที่ยังมีอยู่ในระบบ พวกเขายินดีรับความเสี่ยงที่จะขึ้นไปขายในจุดที่อยู่สูงกว่านี้  และพฤติกรรมขาลงก่อนหน้านั้นของราคาก็เป็นเหมือนสปริงบอร์ด ลงมารับนักลงทุนขาขึ้นที่รออยู่และปรับตัวขึ้นตามไป

การย่อตัวลดลงมาของราคานั้นนอกจากจะเกิดจากการปิดทำกำไรไปก่อนแล้ว ยังเกิดจากนักลงทุนที่อยากจะสวนเทขายลงมา ซึ่งจะกลายเป็นว่ายิ่งสนับสนุนให้มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่ความน่ากลัวของขาขึ้นในระลอกถัดไปคือคราวนี้จะมาจากนักลงทุนก่อนหน้านี้ที่ปิดคำสั่งซื้อทำกำไรไปก่อน และนักลงทุนที่เฝ้ารอดูการทะลุกรอบสามเหลี่ยม แล้วจะเลือกข้างเพื่อวางออเดอร์ถัดไป ซึ่งนักลงทุนทั้งสองกลุ่มนี้จะกลับเข้ามาพร้อมกันในฐานะนักลงทุนฝั่งขาขึ้น