ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพียงเปอร์เซ็นต์เดียว สามารถเพิ่มความเสี่ยงให้กับตลาดหุ้นได้อีกมหาศาล

 | Jun 22, 2022 08:13

ปี 2022 ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หุ้นมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก นับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2021 ดัชนีหลักของสหรัฐอเมริกาทั้งสามไม่ว่าจะเป็นดัชนีแนสแด็ก ดาวโจนส์และเอสแอนด์พี 500ล้วนแล้วแต่ปรับตัวลดลง เทียบกับปีที่ผ่านมาที่ผู้บริโภคและตลาดหุ้นต่างเฟื่องฟู เพราะการปล่อยอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับ และตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังไม่ได้เกินระดับราคาเป้าหมายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขึ้นมาเป็น 2% อย่างเช่นทุกวันนี้

แม้ว่าเงินเฟ้อจะเริ่มปรับตัวขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เฟดและกระทรวงการคลังสหรัฐเรียกอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นเหตุการณ์ "ชั่วคราว" มาตลอดทั้งปี 2021 ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาโทษว่าเป็นเพราะราคาที่สูงขึ้นจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานคอขวดที่เกิดจากการระบาดใหญ่ แม้ผู้กำหนดนโยบายเหล่านี้จะยอมรับผิดแบบอ้อมๆ ในปีนี้ว่าประเมินผิดไป แต่ธนาคารกลางและเจ้าหน้าที่ของรัฐกลับไม่ต้องรับผลของการกระทำและไม่ต้องรับผิดชอบต่อภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแต่อย่างใดด้วย

ในปี 2020 อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเกินจริงและการผ่อนปรนเชิงปริมาณ (QE) ทำให้สภาพคล่องทางการเงินในตลาดมีสูงมาก รัฐบาลได้ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดในปริมาณที่อย่างไม่เคยมีมาก่อน ถึงแม้ว่ามีความจำเป็น แต่ก็กินเวลานานเกินไป และเริ่มหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งเงินเฟ้อที่งอกขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2020 ออกดอกในปี 2021 และเบ่งบานเหมือนวัชพืชที่โตเต็มที่แล้วในปี 2022

ข้อมูลตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่เพิ่มขึ้นและตลาดตราสารหนี้ที่ปรับตัวลดลงคือการส่งสัญญาณเตือนภัย ซึ่งความจริงอย่างหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือเฟดไม่ได้ประเมินว่าจะมีประเด็นอย่างสงครามใหญ่ครั้งแรกในยุโรป นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง และการแตกแยกระหว่างมหาอำนาจนิวเคลียร์จะเข้ามา และทำให้เกิดแรงผลักดันให้เงินเฟ้อแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

นั่นจึงทำให้ภาพรวมการลงทุนในปี 2022 จึงเปลี่ยนแปลงไป ตลาดหุ้นที่เคยปรับตัวขึ้นในขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำนั้นไม่มีอีกแล้ว มีแต่การเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่จะไล่เงินเฟ้อให้ทัน ซึ่งอาจจะต้องแลกมากับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างน้อยหนึ่งปี เงินทุนไหลจากหุ้นไปสู่การลงทุนแบบตราสารหนี้ และแนวโน้มตลาดหุ้นในเดือนมิถุนายน 2022 ก็สะท้อนความเป็นจริงออกมาตามนั้น

h2 CPI เดือนพฤษภาคมเละเทะ PPI ไม่ได้เลวร้ายไปมากกว่ากันเท่าไหร่/h2

ดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐฯ ประจำเดือนพฤษภาคมปรับตัวขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่ธันวาคม 1981 ตัวเลข CPI ในเดือนที่แล้วเพิ่มขึ้น 8.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนหน้า ในขณะที่ตัวเลข CPI พื้นฐานปรับตัวพิ่มขึ้น 6% ตัวเลขทั้งสองสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ เมื่อไปดูที่รายงานตัวเลข PPI ก็พบว่าดัชนีราคาผู้ผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.8% ต่อเนื่อง จนขึ้นมาอยู่ในตัวเลขสองหลัก

ราคาอาหาร ก๊าซ และพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นกลายเป็นปัจจัยสนับสนุนเงินเฟ้อ ส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการทั้งหมด อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นการเรียกร้องให้ธนาคารกลางของโลกต้องจำใจดำเนินนโยบายทางการเงินทั้งๆ ที่ตัวเองยังไม่พร้อมมากเท่าที่ควร เมื่อเร็ว ๆ นี้ธนาคารกลางยุโรปกล่าวว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกจากแดนลบ แต่อัตราเงินเฟ้อจะยังคงทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอยู่ต่ำกว่าศูนย์เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อกำลังกัดเซาะมูลค่าของเงินยูโร เช่นเดียวกับธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยและทำนโยบายการเงินแบบตึงตัวก่อน ECB แล้ว

h2 แม้เฟดจะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ยังตามหลังเงินเฟ้ออยู่อีกไกล/h2

ในวันพุธที่ 15 มิถุนายน ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นมาอยู่ีในกรอบ 1.50% ถึง 1.75% เฟดไม่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นมามากขนาดนี้มาตั้งแต่ปี 1994 พวกเขาพิจารณา CPI พื้นฐานเป็นข้อมูลอ้างอิงเงินเฟ้อที่น่าเชื่อถือที่สุด เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวรวมราคาอาหารและพลังงาน ที่มีความผันผวนสูงเข้ามาร่วมคำนวณด้วย

มาตรการที่เฟดกำลังทำอยู่อาจเป็นภาพลวงตา เพราะสภาพแวดล้อมปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องมาจากสงครามในยูเครนที่เปลี่ยนธรรมชาติของตลาดเหล่านี้ สงครามทำให้เกิดปัญหาด้านอุปทานด้านเศรษฐกิจ ในขณะที่เครื่องมือของธนาคารกลางมี มักจะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางเด้านอุปสงค์มากกว่า ดังนั้น แม้กรอบอัตราดอกเบี้ยในระยะสั้นจะขึ้นมาเป็น 1.50% -1.75% แล้ว แต่บรรดาธนาคารกลางทั้งหลาย ก็ยังอยู่ห่างไกลกับคำว่าการควบคุมเงินเฟ้อ และถ้าเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากเกินไป ก็อาจทำให้สภาพเศรษฐกิจแย่ลงมากกว่าเดิม

h2 ตลาดหุ้นไม่ได้ลง แต่ร่วง/h2
ดาวน์โหลดแอป
เข้าร่วมกับคนนับล้านที่ใช้ Investing.com เพื่อติดตามข่าวสารตลาดการเงินทั่วโลก
ดาวน์โหลดเดี๋ยวนี้

ดัชนีตลาดหุ้นหลักของสหรัฐอเมริกาในปี 2022 ได้ปรับตัวลดลงมาตลอด แต่แรงกดดันด้านลบเริ่มทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงกลางเดือนมิถุนายน