• กลุ่มกองทุนน้ำมัน ETF และสินค้าโภคภัณฑ์ไม่เป็นไปตามความต้องการที่คาดการณ์
• ดอกเบี้ยพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปีปิดตลาดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2016 เป็นต้นมา และยังคงไม่สอดคล้องกับอัตราที่ควรจะเป็นหากเทียบกับพันธบัตรรุ่นอายุ 3 เดือน
การที่ทำเนียบขาวยังคงมีความไม่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเช่นนี้ นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ความผันผวนของตลาดในสัปดาห์นี้ต่อไป
หากตลาดเชื่อว่าข้อพิพาทที่เกิดขึ้นอย่างไม่จบสิ้นในสงครามการค้าครั้งนี้เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งของ “นักเจรจาตัวยง” อย่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ แล้วล่ะก็ นักลงทุนก็ควรจะอดทนต่อไป แต่หากนักลงทุนคิดว่าทุกๆ ข้อความที่มีการทวีตไป รวมทั้งการเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันของประธานาธิบดีคือแผนการเรื่อยเปื่อยที่เล่นไปตามน้ำ ตลาดก็ควรเรียนรู้ได้แล้วว่ามันไม่ได้ทำให้เกิดผลดีใดๆ เลยเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรยังคงดิ่งลงไปทำสถิติต่ำสุดในรอบหลายปี รวมทั้งดอกเบี้ยพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวก็ยังสวนทางกันอยู่ ดังที่ทราบว่าตลาดพันธบัตรนั้นมักจะเชื่อถือได้เสมอ
สงครามทางการค้าที่รุนแรงทำให้ตลาดทุนต้องหยุดชะงัก
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงทันทีหลังจากที่ทรัมป์ออกมาเตือนว่า อาจต้องยกเลิก การเจรจาทางการค้ากับจีนในเดือนหน้า วาทกรรมที่ใช้ในสงครามการค้าเช่นนี้ทำให้ตลาดที่เพิ่งจะฟื้นตัวขึ้นได้จากช่วงก่อนหน้านี้ที่หลายดัชนีปรับลดลงตลอดทั้งสัปดาห์ต้องหยุดชะงักไปอีกครั้ง
นักลงทุนมีการเทขายหุ้นออกมาค่อนข้างมากจนทำให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงไปราว 1.3% ถึงกระนั้นนักลงทุนยังคงมีการเข้าซื้อคืนอยู่บ้างหลังจากที่เห็นว่าทำเนียบขาวน่าจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องสงครามการค้าในประเด็นที่สหรัฐฯ จะไม่ทำธุรกิจกับหัวเหว่ยอีก
ดัชนี S&P 500 ปรับลดลงไป 0.66% ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มที่มีการป้องกันความเสี่ยงดีอย่างกลุ่ม สาธารณูปโภค และกลุ่ม สุขภาพ ซึ่งปรับตัวขึ้นได้ 0.15% และ 0.16% ตามลำดับ แม้ว่าหุ้นตัวเด่นของทั้งสองกลุ่มจะมีช่วงลุ่มๆ ดอนๆ ในช่วงที่ข้อพิพาทในสงครามการค้าเริ่มค่อนข้างรุนแรงอยู่บ้างก็ตาม หุ้นในกลุ่ม เทคโนโลยี (-1.15%) และ บริการสื่อสาร (-1.12%) ยังทำผลงานได้แย่ลง ถึงแม้ว่า ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส จะปรับตัวสูงขึ้นได้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเนื่องจากนักลงทุนให้ความสำคัญกับ การปรับลดปริมาณความต้องการน้ำมันที่คาดการณ์ลงเป็นครั้งที่สาม ขององค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ในช่วงเวลาเพียงสี่เดือน หุ้นในกลุ่ม พลังงาน ปรับลดลงไป -1.12% และเป็นที่ชัดเจนว่านักลงทุนในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์เชื่อว่าการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันจะยุติลงแล้ว
สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 0.44% โดยหุ้นในแต่ละกลุ่มมีทิศทางที่แตกต่างกัน กลุ่มพลังงาน (-2.15%) ทำผลงานได้แย่ลงเนื่องจากอนาคตของหุ้นในกลุ่มนี้ยังคงขึ้นอยู่กับการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่โอเปกกับรัสเซียพยายามจะเลื่อนการประชุมเกี่ยวกับการปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันออกไปจนกว่าประธานาธิบดีทรัมป์กับสีจะเสร็จสิ้นการประชุม G-20 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าตลาดน้ำมันยังคงต้องอาศัยการซื้อขายที่ราบรื่นในวงการน้ำมันระดับโลกอยู่ ส่วนหุ้นในกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ (+1.8%) ยังทำผลงานได้ดี
ดัชนี ดาวโจนส์ ปรับลดลง 0.34% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยตลอดทั้งสัปดาห์ปรับลดลงไป 0.75% ด้านดัชนี NASDAQ คอมโพสิต ร่วงลงไปเต็ม 1.00% เมื่อวันศุกร์ หรือคิดเป็น 0.56% ของตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนี Russell 2000 ก็ยังทำผลงานได้แย่ลงทั้งช่วงรายวันและรายสัปดาห์ โดยปรับตัวลดลง 1.25% ในวันศุกร์และ 1.33% เมื่อพิจารณาทั้งสัปดาห์
เมื่อพิจารณาข้อมูลทางเทคนิค การฟื้นตัวของดัชนีหลักทั้งสามตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ราคายังคงอยู่เหนือเส้น MA 50 สัปดาห์และเส้นแนวโน้มขาขึ้น
กราฟดัชนี RUT รายวัน
ส่วนดัชนีหุ้นขนาดเล็กอย่างดัชนี Russell 2000 ไม่สามารถที่จะไต่ขึ้นไปถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา
แม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงแห่งการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง แต่ดอกเบี้ยพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี ยังคงปรับตัวสูงขึ้นได้ในวันศุกร์ แม้ว่าในช่วงสัปดาห์เดียวกันอาจจะมีการปรับลดลงบ้างก็ตาม เมื่อวันพุธดอกเบี้ยพันธบัตรปรับตัวลงต่ำกว่า 1.6 ซึ่งถือว่าปรับลดลงต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2015 เป็นต้นมา แต่ภายในวันเดียวกันก็สามารถปรับตัวสูงขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยพันธบัตรก็ไปปิดตลาดในวันศุกร์ที่ระดับ 1.745 ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2018 เป็นต้นมา และยังลงไปต่ำกว่าดอกเบี้ยพันธบัตรรุ่นอายุ 3 เดือน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.002 อีกด้วย จึงทำให้อัตราดอกเบี้ยยังคงไม่สอดคล้องกับระยะเวลาของพันธบัตร เราพยายามชี้ให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างทิศทางของตลาดหุ้นและพันธบัตรมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน รวมทั้งย้ำอยู่เสมอว่าตลาดหุ้นในระยะยาวจะ อ่อนตัวลง แม้พันธบัตรจะยังส่งสัญญาณให้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงก็ตาม
กราฟดัชนี DXY รายวัน
ดอลลาร์ สหรัฐปรับตัวลง -0.59% เป็นครั้งแรกในรอบสี่สัปดาห์ อย่างไรก็ตามการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ยังปรับตัวลดลง เป็นการยืนยันกรอบราคาขาขึ้นและสร้างรูปแบบ hammer หลังการฟื้นตัวและไปปิดอยู่ในกรอบราคาได้หลังจากที่ไปทดสอบเส้น MA แบบ 200 วัน, 50 วัน และ 100 วันได้สำเร็จ หากรูปแบบราคายังคงเป็นไปในแบบเดิม ดอลลาร์น่าจะไปทดสอบที่ระดับ 99.00 ได้อีกครั้ง
กราฟราคาน้ำมันรายวัน
เมื่อวันศุกร์ ราคาน้ำมันทะยานขึ้นถึง 3.20% นับเป็นการปรับตัวขึ้นของราคาต่อเนื่องเป็นวันที่สองต่อจากวันพฤหัสบดีรวมทั้งสิ้น 6.67% อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเป็นรายสัปดาห์ ราคาน้ำมันยังถือว่าปรับลดลงไป 2.08% หรือ 3.02% หากพิจารณาในช่วงสองสัปดาห์อันเป็นผลมาจากสงครามทางการค้าซึ่งทำให้ปริมาณความต้องการยังลดต่ำลง
เมื่อพิจารณาข้อมูลทางเทคนิคจะเห็นว่าราคาสามารถกลับขึ้นไปปิดที่เหนือระดับ neckline ของจุดสูงสุดของ H&S แบบขาลงได้หลังจากที่พบแนวรับอยู่ที่ระดับราคาต่ำสุดของเดือนมิถุนายน หากราคาสามารถ ทะลุลงไปได้ ก็คงจะเป็นการทำรูปแบบกรอบราคาขาลงได้ซึ่งก็จะเป็นการทำให้รูปแบบ H&S top ขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2016 ได้สำเร็จด้วย