บทความโดย Michale Kramer ชิ้นนี้เขียนให้กับ Investing.com โดยเฉพาะ
วันแรงงานที่ผ่านมาไม่เพียงแต่เป็นการบ่งบอกว่าช่วงฤดูร้อนได้สิ้นสุดลงแล้วเท่านั้น แต่ยังเป็นช่วงที่การพูดถึงเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยเริ่มลดลงไปบ้างแล้วเช่นกัน แต่ก็ยังมีปัจจัยตัวใหม่ที่อาจจะเรียกได้ว่าเลวร้ายยิ่งกว่าเดิมกำลังจะเข้ามาทำให้นักลงทุนกังวลมากขึ้น นั่นก็คือ ความกลัวที่จะเสียโอกาส เพราะเพียงชั่วพริบตาเดียวตลาดหุ้นทั่วโลกก็พากันดีดตัวขึ้นจากเดือนสิงหาคมที่ค่อนข้างซบเซาได้อย่างมากและยังมีแนวโน้มว่าจะพุ่งขึ้นต่อไปอีก
แม้ว่าอาจจะเป็นการด่วนสรุปที่อาจเร็วไปอยู่บ้าง แต่ในสถานการณ์ที่ ธนาคารของสหรัฐฯ และ ธนาคารกลางยุโรป กำลังมีท่าทีที่จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเช่นนี้ก็น่าจะทำให้สภาพเศรษฐกิจน่าจะเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้นได้ ดังจะเห็นได้จากกลุ่มอุตสาหกรรมบางกลุ่มที่เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้บ้างแล้ว หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปก็อาจทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้นต่อไปได้จนถึงช่วงปลายปี
ราคาใกล้แตะสถิติสูงสุดตลอดกาล
เมื่อวันที่ 5 กันยายน ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นไปทำลายสถิติสูงสุดที่เคยทำในเดือนสิงหาคมได้ หลังจากนั้นก็ยังคงปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และกำลังจะขึ้นไปทดสอบแนวต้านทางเทคนิคสำคัญที่ระดับ 3,015 อีกครั้ง โดยหากสามารถขึ้นไปได้ถึงระดับนี้ได้จริงก็จะเป็นการทำลายสถิติสูงสุดครั้งใหม่ของดัชนีนี้ได้
กราฟดัชนี S&P 500
การฟื้นตัวขึ้นของตลาดโดยรวม
การปรับขึ้นของราคาในรอบนี้ดูเหมือนว่าจะมาจากพื้นฐานที่ค่อนข้างแข็งแรง หากนับจากวันที่ 27 สิงหาคมเป็นต้นมา ดัชนีหุ้นขนาดเล็กอย่าง Russell 2000 ก็ปรับตัวขึ้นมาแล้วมากกว่า 8% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นมาได้ราว 5% นอกจากนี้ ดัชนี ขนส่งดาวโจนส์ ซึ่งมีปรับตัวแกว่งออกด้านข้างมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ก็ขยับขึ้นมาได้เกือบ 10% ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้นยังเป็นโอกาสให้หุ้นบางกลุ่มสามารถทำผลงานให้ดีกว่าเดิมได้ในช่วงเดือนกันยายนอีกด้วย หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ซึ่งประเมินจาก VanEck Vectors Semiconductor ETF (NYSE:SMH) มีการปรับขึ้นมาประมาณ 6% หุ้นในกลุ่มพลังงานซึ่งอ้างอิงจากกองทุนรวมดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงาน (NYSE:XLE) ปรับขึ้นมาประมาณ 5% หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมโรงงานที่มีความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจ วัดจากกองทุนรวมดัชนีราคาหุ้นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม (NYSE:XLI) ปรับขึ้นมาประมาณ 4% ซึ่งหุ้นในกลุ่มดังกล่าวทั้งหมดถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวและสะท้อนถึงการเติบโตของเศรษฐกิจทั้งสิ้น
กราฟกองทุนรวมดัชนีราคาหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมโรงงาน
ตลาดทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสถานการณ์ตลาดทั่วโลกที่เริ่มมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น อย่างเช่น ดัชนี KOSPI ในเกาหลีใต้สามารถไต่ขึ้นมาเหนือระดับสูงสุดในเดือนสิงหาคมในวันที่ 4 กันยายนได้เป็นครั้งแรก โดยสามารถทะลุแนวต้านที่ระดับประมาณ 1,980 ไปได้ จนทำให้ขณะนี้ตลาดหุ้นที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเลขการส่งออกนี้ได้ปรับตัวขึ้นไปอยู่เหนือเส้นแนวโน้มขาลงที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนเมษายนได้แล้ว แม้ว่าดัชนี DAX ของเยอรมนีจะปรับตัวสูงขึ้นได้ราว 5% นับจากต้นเดือนกันยายนเป็นต้นมา แต่ในทางเทคนิคถือว่าใกล้เคียงจุดที่กำลังจะทะลุแนวต้านขึ้นไปอีกได้
กราฟดัชนี KOSPI
เศรษฐกิจจะถดถอยได้อย่างไร?
ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นน่าจะเป็นสัญญาณที่ชี้ว่าโอกาสในการที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะหดตัวลงนั้นน่าจะเกิดขึ้นได้น้อยลง รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เคยทำรูปแบบ Inversion ก็ได้หายไปแล้ว ปัจจุบันผลต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรุ่นอายุ 10 ปี กับ 2 ปี กลับมาอยู่ในระยะที่ปกติมากขึ้น จากเดิมที่เคยมีผลต่างราว -6 จุดเบสิสในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ขณะนี้กลายมาเป็น 6 จุดเบสิส
ความกลัวที่จะเสียโอกาส
เมื่อพิจารณาจากผลงานของตลาดของหุ้นในกลุ่มที่มีความอ่อนไหวกับสภาพเศรษฐกิจข้างต้นแล้ว หากปัจจัยเสี่ยงในการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยเริ่มน้อยลงและเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาเติบโตได้อีกครั้งจริง นักลงทุนก็จะเริ่มมีความกังวลอีกประเภทหนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งก็คือความกลัวที่จะเสียโอกาสในการฟื้นตัวช่วงปลายปี
หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็น่าจะสามารถขยับขึ้นทะลุการสะสมตัวที่มีมานานเกือบสองปีนี้ไปได้ ซึ่งก็อาจหมายความว่าการปรับตัวขึ้นในครั้งนี้อาจเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ภายในอีกไม่กีสัปดาห์ข้างหน้าก็น่าจะได้รู้กันว่าเรื่องราวจะเข้มข้นขึ้นต่อไปอย่างไร