ผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ของปี 2019 มีกำหนดประกาศในวันพุธที่ 16 ตุลาคม หลังปิดตลาด
รายได้ที่คาดการณ์: 5.25 พันล้านเหรียญ
กำไรที่คาดการณ์: $1.03
การรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 3 ของยักษ์ใหญ่ในวงการสตรีมมิงอย่าง Netflix ที่กำลังจะประกาศออกมาในไม่กี่อึดใจนี้ บริษัทจะต้องแสดงให้เห็นว่าตัวเลขจำนวนผู้ใช้บริการที่ลดลงในไตรมาสที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วคราวและจะไม่เกิดขึ้นอีก
การที่นักลงทุนผิดหวังกับผลประกอบการของ Netflix (NASDAQ:NFLX) ในไตรมาสที่ 2 ทำให้หุ้นของบริษัทในช่วง 3 เดือนหลังจากนั้นร่วงลงไปมากกว่า 25% และถือว่าเป็นหุ้นที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดในบรรดาหุ้นใหญ่ของกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีเดียวกันในช่วงเวลานั้นเลยทีเดียว เมื่อวานนี้หุ้น Netflix ไปปิดตลาดที่ระดับ $284.25 หากเทียบกับสถิติที่เคยขึ้นไปทำได้สูงสุดในเดือนมิถุนายน ปี 2018 ที่ระดับ $423.21 ก็ถือว่าปรับลดลงไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว
กราฟราคาหุ้นของ Netflix
สิ่งที่มีผลต่อราคาหุ้นของ Netflix มากที่สุดคือการที่บริษัทปรับขึ้นค่าบริการรับชมภาพยนตร์ เพราะเห็นได้ชัดว่าจำนวนผู้บริการที่ลดลงส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภูมิภาคที่มีการปรับเพิ่มค่าบริการรายเดือนนั่นเอง
หลายฝ่ายมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า Netflix ยังขาดอำนาจในการเป็นผู้กำหนดราคาเพื่อนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาชดเชยกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในปัจจุบัน รวมทั้งเส้นทางในการทำกำไรของบริษัทก็อาจไม่ได้ปูด้วยกลีบกุหลาบเหมือนอย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนคาดเอาไว้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายในการผลิตคอนเทนต์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องอย่างหนักตลอดเวลาเช่นนี้
สภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ความผิดหวังจากผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ทำให้นักลงทุนเริ่มหันมาพิจารณาสภาวะการแข่งขันในตลาดอย่างจริงจังมากขึ้น บริษัท Walt Disney (NYSE:DIS) ได้ประกาศออกมาในเดือนสิงหาคมว่ากำลังจะให้บริการแพ็กเกจสตรีมมิงรูปแบบใหม่ในราคาเพียงเดือนละ $12.99 และในแพ็กเกจดังกล่าวจะประกอบด้วยรายการสำหรับครอบครัว การถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬา และรายการโทรทัศน์ที่น่าสนใจอื่นๆ อีกจำนวนมาก Disney ตั้งราคาค่าบริการตามแพ็กเกจมาตรฐานของ Netflix และทำการตลาดบริการของตนด้วยการลดราคาแพ็กเกจพรีเมียมลงอีก $3
ด้านบริษัท Apple ซึ่งถือเป็นบริษัทในธุรกิจสตรีมมิงที่มีทุนหนาอีกรายหนึ่งก็ประกาศว่าจะเปิดให้บริการ Apple (NASDAQ:AAPL) TV+ movie และ Apple TV ภายในเดือนพฤศจิกายนเช่นกัน สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่าราคาค่าบริการน่าจะอยู่ที่ $9.99 ต่อเดือนเท่านั้น ส่วนบริษัท AT&T และบริษัทในเครือ NBC Universal อย่าง Comcast ก็มีแผนที่จะให้บริการสตรีมมิงด้วยเช่นกัน โดยทุกรายต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันในการหยุดการผูกขาดการให้บริการของ Netflix นั่นเอง
สภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นเช่นนี้ย่อมทำให้ Netflix ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากในระยะสั้นได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทจะพ่ายแพ้อย่างหลุดลุ่ยจนทำให้เสียฐานลูกค้าทั้งหมดไป เพราะในอดีตที่ผ่านมา Netflix ก็เคยทำผลงานได้ดีจนทำลายสถิติได้หลายครั้ง สำหรับผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 นี้ บริษัทคาดว่าจะมีผู้สมัครใช้บริการมากขึ้นอีก 7 ล้านคน เทียบกับในช่วงก่อนหน้าที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น 2.7 ล้านคน
หากบริษัทสามารถดึงดูดลูกค้าให้มาเป็นสมาชิกได้มากกว่าจำนวนที่คาดการณ์เอาไว้ ประกอบกับการนำเสนอรายการและคอนเทนต์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง หุ้นของบริษัทก็มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวขึ้นได้ต่อไป
บทสรุป
ในช่วงไม่กี่ปีนี้ผ่านมานี้ หุ้นของ Netflix สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างมาก โดยเฉลี่ยแล้วบริษัทมีจำนวนผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 27% ตลอดห้าปีที่ผ่านมา
แต่ด้วยสภาวะการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป รวมทั้งต้นทุนการผลิตคอนเทนต์ที่สูง และตลาดในประเทศที่เริ่มอิ่มตัว การทำผลงานให้โดดเด่นเหมือนเคยก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
เราเชื่อว่า นักลงทุนจะยังไม่กล้าลงทุนกับ Netflix ในช่วงนี้ จนกว่าจะเห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าบริษัทสามารถยืนหยัดต่อไปได้อย่างมั่นคง ดังนั้นตัวเลขจำนวนผู้สมัครใช้บริการในช่วงครึ่งปีหลังจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้ได้ว่า Netflix จะมีทิศทางอย่างไรต่อไปในอนาคต