เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาถือเป็นวันประวัติศาสตร์วันหนึ่งเลยสำหรับนักลงทุนในยุคนี้ ความสูญเสียเมื่อวันจันทร์จนได้ชื่อว่า “จันทร์ทมิฬ (Black Monday)” เรียกได้ว่าใกล้เคียงกับวิกฤติทางการเงินเมื่อปี 2008 เลยทีเดียว ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 2,000 จุดภายในวันเดียวจากความเป็นกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาและราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลงไปจนมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ $30 ต่อบาร์เรลเท่านั้น
แม้ว่าวันอังคารดัชนีดาวโจนส์จะสามารถวิ่งกลับขึ้นมาได้บ้างแต่ขาขึ้นนั้นก็ทำระยะทางได้เพียงครึ่งเดียวของขาลงเมื่อวันจันทร์เท่านั้น นักลงทุนได้แต่วางเส้นแนวรับแห่งความหวังว่ารัฐบาลหรือมาตรการจากธนาคารกลางประเทศไหนสักแห่งจะออกมาแล้วได้ผล
แม้ว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในช่วงนี้จะยังคงอยู่ในความผันผวนจากมรสุมไวรัสโคโรนา เรากลับพบหุ้น 3 ตัวที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีและพร้อมที่จะปรับตัวขึ้นท่ามกลางตัวเลขสีแดงที่นองอยู่ทั่วทั้งกระดานลงทุนของโลก
1. The Clorox Company
หุ้นของบริษัทคลอร็อกซ์ (NYSE:CLX) ซึ่งทำผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดภายในบ้านกำลังเป็นที่ต้องการของนักลงทุน ยิ่งไวรัสโคโรนาแพร่ระบาดในสหรัฐฯ เป็นวงกว้างมากแค่ไหน หุ้นบริษัทก็ดูเหมือนว่าจะทำผลงานได้ดีขึ้นเพราะผู้บริโภคต้องการนำผลิตภัณฑ์ของคลอร็อกซ์มาใช้อย่างเช่น ยาฟอกขาว สเปรย์ทำความสะอาด ฯลฯ มาใช้เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่ิอผู้คนต้องการอุปกรณ์ทำความสะอาดผลก็คือหุ้นบริษัทปรับตัวสูงขึ้น
หุ้นคลอร็อกซ์ค่อยๆ ไต่ขึ้นอย่างมั่นคงสู่จุดสูงสุดตลอดกาลในขณะที่หุ้นตัวอื่นๆ ในตลาดกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากความผันผวนเพราะไวรัสโคโรนา เฉพาะเดือนนี้หุ้นคลอร็อกซ์ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 10% ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ $178.84 เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก่อนปิดตลาดเมื่อวันอังคารกราฟมีราคาปิดอยู่ที่ $175.00 โดยมีมูลค่ารวมทางการตลาดทั้งหมด $2,189 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในช่วงนี้ผลิตภัณฑ์ของคลอร็อกซ์อย่างเช่นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดฆ่าเชื้อและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่สามารถฆ่าเชื้อได้กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากบริษัทอ้างว่าผลิตภัณฑ์คลอร็อกซ์สามารถใช้ต่อกรกับไวรัสโคโรนาได้ซึ่งทางคลอร็อกซ์ได้นำผลิตภัณฑ์มาทดสอบฆ่าไวรัสที่อยู่ในสายพันธ์ใกล้เคียงกันบนพื้นผิวที่มีลักษณะแข็ง เรียบ ไม่เป็นรูพรุน
ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลจากศูนย์วิจัยชีวเคมีได้เปิดเผยรายงานของผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้เพื่อต่อกรกับไวรัสโคโรนาได้พบว่าผลิตภัณฑ์ของคลอร็อกซ์มียอดขายยอดนิยม 21 จาก 139 รายการผลิตภัณฑ์มากกว่าบริษัทคู่แข่งอื่นทั้งหมด
เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาบริษัทคลอร็อกซ์พึ่งจะรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ไปซึ่งตัวเลขที่ออกมาสามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ไปได้ CEO ของบริษัทนาย Benno Dorer กล่าวว่า “ตัวเลขแดนบวกเหล่านี้ได้มาก่อนที่การระบาดของโควิด-19 จะถูกยกระดับเป็นการแพร่ระบาดใหญ่และเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทเสียอีก ตอนนั้นการแพร่ระบาดยังคงอยู่ในเฉพาะประเทศจีนด้วยซ้ำ”
2. Dollar General
บริษัทอเมริกันผู้ค้าปลีกรายย่อยไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค อาหารสด อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ฯลฯ ซึ่งมีสาขาอยู่มากกว่า 15,000 สาขาใน 44 รัฐนามว่าดอลลาร์ เจนเนอรัล (NYSE:DG) จะสามารถทำผลงานได้ดีในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากผู้คนมีความต้องการซื้อสินค้าลดราคากันมากขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทได้ออกมาบอกว่ากำลังซื้อหลักของบริษัทซึ่งเป็นเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านที่มีรายได้ต่อปีต่ำกว่า $35000 กำลังได้รับผลกระทบ ตอกย้ำความจริงที่ว่าเศรษฐกิจกำลังถดถอย
เฉพาะในเดือนมีนาคมหุ้นดอลลาร์ เจนเนอรัลปรับตัวขึ้นเกือบ 9% และนับตั้งแต่ต้นปี 2020 มาจนถึงปัจจุบันหุ้น DG ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 37% ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่ $167.40 เมื่อวานนี้แม้ตอนปิดตลาดจะมีราคาลดลงเหลือ $166.25 บริษัทมีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $4,233 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทดอลลาร์ เจนเนอรัลจะรายงานผลประกอบการครั้งต่อไปในวันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรหุ้น (EPS) ของบริษัทในรอบนี้จะอยู่ที่ $2.01 เพิ่มขึ้น 9% จาก $1.84 ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนตัวเลขผลกำไรบริษัทคาดว่าจะเติบโตขึ้น 8% เป็น $715 ล้านเหรียญสหรัฐ
มีสิ่งหนึ่งที่นักลงทุนอยากรู้คือ “โควิด-19 จะกระทบต่อซัพพลายเชนของดอลลาร์ เจนเนอรัลหรือไม่?” เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ของบริษัทคู่แข่งอย่าง ดอลลาร์ ทรี (NASDAQ:DLTR) พบว่ามีตัวเลขลดลงและซัพพลายเชนได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย
3. Duke Energy
ทันทีที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา บริษัทดุ๊ค เอนเนอร์จี้ (NYSE:DUK) ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐฯ คือบริษัทที่อาจจะสร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนได้ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าเพราะหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมักจะเป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำและมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนที่น่าดึดดูดใจ
ในเดือนนี้หุ้นบริษัทบริษัทดุ๊ค เอนเนอร์จี้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 4% มีราคาปิดเมื่อวันก่อนอยู่ที่ $95.05 ลดลงมา 8% จากจุดสูงสุดของราคา $103.79 ที่สร้างเอาไว้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ทำให้บริษัทมีมูลค่าทางการตลาดรวมทั้งสิ้น $6,970 ล้านเหรียญสหรัฐ
การปันผลของบริษัทดุ๊ค เอนเนอร์จี้ของแต่ละไตรมาสในทุกวันนี้อยู่ที่ $0.9450 ต่อหุ้น คิดเป็นการปันผลในแต่ละปีอยู่ที่ $3.78 คิดเป็น 4.00% ถือเป็นตัวเลขที่น่าสนใจอย่างมากท่ามกลางสภาพแวดล้อมอัตราดอกเบี้ยต่ำ เปรียบเทียบกับราคา พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ในตอนนี้ที่ลงไปสร้างจุดต่ำสุดอยู่ที่ 0.342% ก่อนที่จะดีดตัวกลับขึ้นมา 0.8% ในวันอังคารที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมารายงานผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่ 4 สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ 87 เซนต์ต่อหุ้นเป็น 91 เซนต์ต่อหุ้นได้ มีผลกำไรรวมแล้วทั้งสิ้น $610 ล้านเหรียญสหรัฐเพราะยอดขายก๊าซธรรมชาติ พลังงานไฟฟ้าและพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่