แบงก์ชาติออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้เพื่อลดความเสี่ยง NPLในช่วงสั้น
วานนี้ผู้ว่าธปท. ร่วมกับสมาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงิน ออกมาตรการ 6 ประเภทสินเชื่อเพื่อช่วยลูกหนี้ที่ยังไม่เป็น NPL และลดผลกระทบทาง ศก. จากการแพร่ระบาดของ COVID-19โดยมาตรการดังกล่าวจะมีผลตั้งแต่วันที่1 เม.ย. ซึ่งสินเชื่อที่เข้าข่ายมาตรการได้แก่
สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อเงินสดหมุนเวียน (Revolving Loan) ลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำจาก 10% เหลือ 5% ในปี 2563-64, เพิ่มเป็น 8% ในปี 2565 และกลับสู่ปกติตั้งแต่ปี 2566 และให้ลูกหนี้แปลงสินเชื่อเป็นระยะยาวเพื่อลดค่างวดได้
สินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เลื่อนการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน ส่วนผู้ให้บริการอื่นเลือกระหว่างเลื่อนการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3เดือน หรือลดค่างวด 30% 6เดือน
สินเชื่อเช่าซื้อมอเตอร์ไซค์วงเงิน 35,000 บาท และรถทุกประเภทวงเงินไม่เกิน 250,000 บาท รวมถึงลีสซิ่งมูลหนีต่ำกว่า 3 ลบ. ให้เลือกระหว่างเลื่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน หรือพักชำระเงินต้น 6 เดือน
สินเชื่อบ้านวงเงินไม่เกิน 3 ลบ. และ สินเชื่อธุรกิจ SMEs, ไมโครไฟแนนซ์ และนาโนไฟแนนซ์วงเงินไม่เกิน 20 ลบ. ให้พักชำระคืนเงินต้น 3 เดือน และพิจารณาลดดอกเบี้ยตามสถานการณ์ของแต่ละราย (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ)
แม้มีผลลบอยู่บ้าง แต่จะถูกชดเชยด้วย Credit Cost ที่ต่ำลง
เราประเมินมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ จะส่งผลต่อหุ้นภายใต้ Coverage ของเรา 3 กลุ่มดังนี้
1) ธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลทั้ง Secured Loan และ Unsecured Loan ค่อนข้างมาก ( SCB (BK:SCB), KBANK (BK:KBANK)) คาดได้รับผลลบมากที่สุดจากการช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เพราะลูกหนี้สามารถขอพักชำระหนี้ได้ถึง 3เดือน ส่งผลให้ในช่วงเวลาดังกล่าวธนาคารจะไม่สามารถรับรู้รายได้ดอกเบี้ยรับได้ อีกทั้งสินเชื่อบ้านที่แม้มีรายได้ดอกเบี้ยรับตามปกติ (พักชำระแต่เงินต้น) แต่อาจพิจารณาลดดอกเบี้ยลง กดดัน Asset Yield และทำให้ NIM มีแนวโน้มแคบลง
2) กลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิต ( KTC (BK:KTC), AEONTS (BK:AEONTS))ช่วยเหลือลูกหนี้ด้วยการลดภาระการเงินชำระรายงวด โดยช่วงสั้นคาดรายได้ดอกเบี้ยรับลดลงบางส่วน จากการยืดระยะเวลาของสัญญาของสินเชื่อบัตรเครดิตออกไปจากเพียง 10 งวด เป็น 20 งวด ทำให้การรับรู้รายได้ ในแต่ละไตรมาสจะลดลง แต่หากพิจารณาทั้งอายุสัญญา (20 งวด) จะมีรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากฐานพอร์ตสินเชื่อสูงขึ้น
3) กลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ (SAWAD, MTC) และธนาคารที่มีสัดส่วนให้สินเชื่อเช่าซื้อรถมือสอง(TISCO, KKP) ให้การช่วยเหลือโดยมีทั้งการลดค่างวดลง 30% นาน 6 เดือน และการพักชำระเงินต้นแต่คาดไม่ได้รับผลกระทบในงบกำไรขาดทุน เพราะลูกหนี้ยังมีการชำระดอกเบี้ยตามปกติ แต่อาจมีผลต่อสภาพคล่องทางการเงินให้แย่ลงชั่วคราว
ในช่วงสั้นมองกลุ่มไฟแนนซ์มีความน่าสนใจมากกว่าจากสินเชื่อที่โตดีและต้นทุนการเงินลดลง
แม้ช่วงสั้นมาตรการดังกล่าวจะทำให้รายได้ดอกเบี้ยรับของหุ้นหลายตัวในกลุ่มลดลงไปบ้าง แต่ปัจจัยลบข้างต้นจะถูกชดเชยด้วย Credit Cost ที่มีโอกาสดีกว่าที่ตลาดคาด เพราะมาตรการดังกล่าวป้องกันไม่ให้ลูกหนี้เกิดการไหลตกชั้นจนกลายเป็น NPL ซึ่งจะมีผลลบรุนแรงกว่า ตามการตั้งสำรองตามมาตรฐานบัญชีใหม่ (NPL เพิ่มขึ้น = Probability of Default สูงขึ้น) ในเชิงกลยุทธ์ในช่วงสั้นเรามองว่าหุ้นในกลุ่มการเงินอย่าง SAWAD (TP@62.50) และ MTC (TP@54) มีความน่าสนใจมากกว่าหุ้นกลุ่มธนาคารเนื่องจากคาดยังเห็นการเติบโตของสินเชื่อตามความต้องการใช้เงินด่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วง ศก. ชะลอตัว และได้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มต่ำลง บวกกับราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาได้ปรับลงจนกลับมามีUpside ในระดับที่น่าสนใจ
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities