Earning Result
KBANK (BK:KBANK) รายงานกำไรสุทธิช่วง 1Q63 จำนวน 6,582 ลบ. หดตัว 34.5%YoY แย่กว่าที่เราและตลาดคาด แม้มีแรงหนุนจากรายได้ดอกเบี้ยรับที่โต 11.2%YoY หลังพอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัวได้ราว 6.7%YoY จากสินเชื่อในกลุ่ม Corporate และสินเชื่อบ้านที่เติบโตดี บวกกับ NIM ขยับขึ้น เป็น 3.52% จากเพียง 3.32% ในช่วง 1Q62 หลังได้ปัจจัยบวกจากการปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ และต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากมาตรการลดเงินนำส่งกองทุน FIDF แต่ไม่พอที่จะชดเชยแรงกดดันจากทั้ง 1) รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยหดตัวแรง 39.8%YoY หลังปรับใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ ทำให้ค่าธรรมเนียมในการให้สินเชื่อถูกย้ายไปรวมกับรายได้ดอกเบี้ยรับ อีกทั้งมีผลขาดทุนสุทธิ จากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุน (FVTPL) อีกราว 2,898 ลบ. ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการ Mark to Market ของสินทรัพย์เพื่อการลงทุนของบริษัท MTL (KBANK ถือหุ้น 38.3%) ในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง 2) Cost to Income Ratio ขยับขึ้นเป็ น 49.3% จาก 42.7% ในปีก่อนจากการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการตลาดในช่วงต้นปี และรายได้จากการดำเนินงานที่ ปรับตัวลดลง 3) การตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 56.6%YoY หลักๆ เป็นผลจากการตั้งสำรองภายใต้มาตรฐานบัญชีใหม่, การตั้งสำรองตาม NPL ที่เพิ่มขึ้นเป็น 4.34% จาก 4.01% ในปีก่อน และ การตั้งสำรองเพิ่มพิเศษ (Management Overlay) เพื่อรองรับการชะลอตัวทาง ศก. ในปีนี้
Our Take
กำไรช่วง 1Q63 คิดเป็น 19.1% ของประมาณการทั้งปี และเรายังคงประมาณการเดิมที่ 34,456 ลบ. หดตัว 11%YoY โดยคาดกำไรสุทธิของ KBANK ตั ้งแต่ช่วง 2Q63 มีโอกาสปรับขึ้น QoQ เนื่องจาก KBANK ได้เร่งตั้งสำรองเพื่อรองรับความเสี่ยงทาง ศก. ไปมากในไตรมาสที่ผ่านมาอีก มีปัจจัยหนุนจากสินเชื่อ Corporate ที่คาดเพิ่มขึ้นจากความต้องการสภาพคล่องชั่วคราว และสินเชื่อ Soft Loan ที่จะให้กับลูกหนี้กลุ่ม SME คาดช่วยประคองให้ลูกหนี้ในกลุ่มเสี่ยงมีสภาพ คล่องในการบริหารธุรกิจมากขึ้น นอกจากนี้กำไรในช่วง 1Q63 ถูกกดดันมากเกินไปจากผลขาดทุนจากการ Mark to Market ของเงินลงทุนในบริษัทประกัน ซึ่งหากภาวะตลาดไม่แย่ลงมาก การ Mark to Market จะไม่สร้างผลขาดทุนเพิ่มขึ้นมากนัก
แม้ภาพรวมธุรกิจของ KBANK ยังไม่สดใส และมีความเสี่ยงด้านหนี้เสียมากกว่าแบงก์ใหญ่อื่น เนื่องจากมีพอร์ตลูกหนี้ในกลุ่มท่องเที่ยวคิดเป็นกว่า 20% ของพอร์ต แต่ด้วย KBANK ยังเป็ แบงก์ที่ซื้อขายอยู่ในระดับ PBV ที่ต่ำเพียง 0.6x ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก และมี Upside ราว 17.5% จากมูลค่าพื้นฐานปี 2563 ที่ 114 บาท และคาดให้ Div. Yield อีก 4.1% จึงแนะนำ “ซื้อ”
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities