รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

3 หุ้นเทคฯ ที่จะสามารถขึ้นต่อได้แม้สหรัฐฯ จะต้องกลับไปปิดเมืองอีกครั้งก็ตาม

โดยInvesting.com
ผู้เขียนJesse Cohen
เผยแพร่ 02/07/2563 17:44
อัพเดท 02/09/2563 13:05

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐฯ ตอนนี้ยังไม่เห็นสัญญาณการชะลอตัวลดลงเลยแม้แต่น้อย ล่าสุดเมื่อวันอังคารคุณหมอใหญ่อย่างด็อกเตอร์ แอนโทนี่ เฟาซี่ได้ออกมาเตือนสภาและทำเนียบขาวว่าถ้ายังไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจังยอดผู้ติดเชื้อในครั้งนี้อาจเพิ่มสูงขึ้นจนเราอาจจะได้เห็นตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อวันละ 100,000 คน

รัฐเท็กซัส ฟลอริด้า อาร์ริโซนาและแคลิฟอร์เนียยังคงเป็น 4 รัฐที่ได้รับการยืนยันว่ามีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเยอะที่สุดจนผู้ว่าการของทั้ง 4 รัฐต้องสั่งยกเลิกแผนกลับมาเปิดเมืองเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจแล้ว ถึงกระนั้นท่ามกลางช่วงเวลาวิกฤตก็ยังมีหุ้นของบางบริษัทที่สามารถทำกำไรได้ ในบทความนี้เราได้คัดหุ้นทั้ง 3 ตัวนั้นมาให้ผู้อ่านได้พิจารณา

1. Amazon.com

สำหรับบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) เราคงไม่จำเป็นต้องแนะนำตัวอะไรกันมากเพราะนับตั้งแต่ไวรัสโคโรนาเริ่มระบาดแอมะซอนก็สามารถพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าสามารถเอาตังรอดได้เป็นอย่างดี 3 เดือนล่าสุดหุ้นแอมะซอนสามารถสร้างขาขึ้นได้มากถึง 45% ทำผลงานได้ดีกว่าดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันได้เพียง 22% เท่านั้น ปัจจุบันหุ้นแอมะซอนมีราคาอยู่ที่ $2878.70 สร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $2,795 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน มีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $1,370,000 ล้านเหรียญสหรัฐAmazon Daily Chart

บริษัทแอมะซอนยังได้รับการยกย่องให้เป็นบริษัทที่สามารถเอาชนะวิกฤตช่วงโควิด-19 ที่ดีที่สุดของสหรัฐฯ ด้วยซึ่งรางวัลนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับการเปลี่ยนกลยุทธ์ทั้งหมดมาการค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์ในช่วงนั้น

บริษัทแอมะซอนจะรายงานผลประกอบการของไตรมาสที่ 2 ในวันที่ 30 กรกฎาคม นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ที่ $1.37 ส่วนตัวเลขกำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น 27% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้วเป็น $80,600 ล้านเหรียญสหรัฐ สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจ E-commerce และระบบคลาวด์ของบริษัท

สถาบันทางการเงินชื่อดังหลายแห่งยังปรับเป้าหมายให้กับหุ้นของแอมะซอนใหม่ยกตัวอย่างเช่น Deutshe Bank ปรับราคาเป้าหมายของหุ้นแอมะซอนเป็น $3,333 ในขณะที่ SunTrust เพิ่มตัวเลขเป้าหมายของหุ้นแอมะซอนเป็น $3,400 เรียกได้ว่ามีแต่ปัจจัยเชิงบวกมาสนับสนุนแอมะซอนอย่างไม่จบไม่สิ้นเลยทีเดียว

สิ่งที่เป็นจุดแข็งและสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนของแอมะซอนได้จริงๆ คือระบบการบริการที่มีเทคโนโลยีคลาวด์อยู่เบื้องหลัง สินค้าของแอมะซอนไม่ได้เป็นที่สนใจเฉพาะลูกค้าทั่วไปเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงกองทัพสหรัฐฯ และองค์กรที่อยู่ในแวดวงการโฆษณาด้วย อ้างอิงจากคำพูดของคุณ Teresa Carlson รองประธานผู้ดูแล “Amazon Web Service และการค้าขายของแอมะซอนในระดับโลก” กล่าวว่า “แอมะซอนได้รับความสนใจมากยิ่งขึ้นจากองค์กรระดับสูงของประเทศเมื่อพวกเรามีแผนที่จะขยายธุรกิจไปในระดับโลกโดยมีระบบคลาวด์ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง”

2. Fastly

แฟสลีย์ (NYSE:FSLY),แม้ว่าพึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคมปี 2019 แต่ก็สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วไม่น้อยหน้าบริษัทอย่าง Shopify (NYSE:SHOP), Spotify (NYSE:SPOT) และ Slack (NYSE:WORK) เลย ด้วยบริการหลักของบริษัทคือการช่วยเหลือบริษัทและองค์กรต่างๆ ในการพัฒนาเว็บไซต์ แอปพลิเคชั่น วิดีโอและการสตรีมมิ่ง

บริษัทแฟสลีย์กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับลูกค้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริการต่างๆ ของบริษัทที่มีระบบคลาวด์ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง ที่สำคัญแฟสลีย์มีส่วนช่วยให้บริษัทที่ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงไม่ทันในช่วงโควิด-19 สามารถเอาตัวรอดมาได้เยอะอยู่พอสมควร ความนิยมนี้สะท้อนออกมาหุ้นของบริษัท นับตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือนมีนาคมมาจนถึงปัจจุบันหุ้นของแฟสลีย์ทะยานขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 367% มีจุดสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ $88.94 มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $86.45 และมีมูลค่าทางการตลาดรวมแล้วทั้งสิ้น $8,700 ล้านเหรียญสหรัฐFastly Daily Chart

รายงานผลประกอบการของแฟสลีย์ในไตรมาสแรกช่วงต้นเดือนพฤษภาคมสร้างความตกตะลึงให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก จากเดิมที่เคยมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 6 เซนต์เท่านั้นในปี 2019 กลับสามารถเพิ่มขึ้นมาเป็น 30 เซนต์ได้ในปีนี้ ขณะเดียวกันตัวเลขกำไรของบริษัทก็เพิ่มขึ้น 38% จาก $63 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว

เมื่อพูดถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 นี้แฟสลีย์คาดหวังเอาไว้ค่อนข้างสูงทีเดียว พวกเขามองว่าตัวเองน่าจะได้กำไรอยู่ที่ประมาณ $70-$72 ล้านเหรียญสหรัฐ อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทแบบปีต่อปีอยู่ที่ 57% กำไรตลอดทั้งปี 2020 คาดว่าจะทำได้อยู่ระหว่าง $280-$290 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ยอดขายครั้งก่อนที่อยู่ระหว่าง $255-$265 ล้านเหรียญสหรัฐ

3. Upwork

อัพเวิร์ก (NASDAQ:UPWK) หนึ่งในบริษัทจัดหางานโดยมุ่งเน้นไปที่การให้ผู้ว่าจ้างกับผู้รับงานฟรีแลนซ์ทั่วโลกได้มาเจอกันกลายเป็นเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมเมื่ออัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้นและองค์กรต่างๆ ที่ยังไม่พร้อมจะจ้างพนักงานประจำในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

สถิติ 3 เดือนล่าสุดพบว่าหุ้นอัพเวิร์กทะยานสูงขึ้น 122% สร้างจุดสูงสุดในรอบ 7 เดือนเอาไว้ที่ $14.69 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $14.98 แม้ว่าราคาหุ้นเทียบกันแบบปีต่อปีจะยังปรับตัวลงอยู่ 10% แต่มูลค่าทางการตลาดของบริษัทก็สามารถมีตัวเลขอยู่ที่ $1,700 ล้านเหรียญสหรัฐUpwork Daily Chart

ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่โควิด-19 เริ่มระบาดใหม่ๆ กำไรของอัพเวิร์กสามารถเติบโตได้ 21.5% จาก $83.2 ล้านเหรียญสหรัฐในไตรมาสเดียวกันของปี 2019 ตัวเลขการทำกำไรได้ในตลาดจากปัจจัยพื้นฐานเพิ่มขึ้น 24% และตัวเลขความพึงพอใจในการบริการโดยรวมเพิ่มขึ้น 15% แบบปีต่อปี

นาย Hayden Brown ผู้ดำรงตำแหน่งเป็น CEO ของบริษัทกล่าวในการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ว่า “การแพร่ระบาดของโควิด-19 คือปัจจัยหลักที่บีบให้มนุษย์จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานจากการไปรวมกันที่บริษัทเป็นการทำงานอยู่ที่บ้านของตน จากความยืดหยุ่นและการปรับตัวนี้เองที่บริษัทของเราได้เข้าไปช่วยเหลือทั้งผู้ว่าจ้างและลูกจ้างให้สามารถมาเจอกันบนโลกแห่งอินเทอร์เน็ตได้”

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย