-D/E ปรับตัวลดลงจากเงินสดที่เพิ่มขึ้นราว 2.0 หมื่นล้านบาท จากการเพิ่มทุนและการขาย Perpetual Bond
- 2Q63 คาดเป็นไตรมาสที่อ่อนแอที่สุดของปี 2563 ทั้งในประเทศและ NH Hotel รวมทั้งกลุ่มร้านอาหารที่มีการปิดห้างในเดือนเม.ย.-พ.ค. 2563
- แจก MINT-W7 สัดส่วนใหม่ที่ 22 หุ้นเดิมต่อ 1 Warrantซึ่งส่งผลให้เกิด Fully Dilution ที่ 4%
-ปรับขาดทุนสุทธิปี 2563 เพิ่มเป็น 8.22 พันล้านบาท จาก 6.2พันล้านบาท จากรายได้ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็ม Capacity
- ยังคงแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 17.50 บาท โดยวิธี SOTP
เริ่มกลับมาให้บริการทั้งในและต่างประเทศ
ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (BK:MINT) เริ่มกลับมาให้บริการโรงแรมในประเทศแล้ว อาทิ Anantara Siam,Anantara Huahin และ Avani Huahin และคาดว่าจะกลับเริ่มให้บริการโรงแรมที่ภูเก็ต พัทยา สมุยและขอนแก่นในเดือนก.ค. 2563 ในขณะที่กลุ่ม NH Hotel ได้กลับมาให้บริการตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิ.ย. 2563 ราว 60% ของโรงแรมในพอร์ตและมียอด Booking เข้ามาต่อเนื่องและมียอดBooking แล้ว 40% โดยในไตรมาส 3 จะเป็นช่วง High Season และคาดว่าจะสามารถกลับมาให้บริการโรงแรมได้เกือบ 100%
คาด 2Q63 เป็นไตรมาสที่อ่อนแอที่สุด แต่จะดีขึ้นในช่วง 2H63
แม้ว่า MINT จะสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้กว่า 25%แต่เนื่องจากการเปิดให้บริการโรงแรมจะขึ้นอยู่กับความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายเราจึงมองว่าใน 3Q63 จะเป็นช่วงที่โรงแรมของ MINT เองอาจยังไม่สามารถเปิดได้ 100% ทั้งนี้ โรงแรมทั้งในและต่างประเทศจะต้องพึ่งพาลูกค้ากลุ่ม Domestic เป็นหลักซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการเปิดโรงแรมครบ 100% แต่กลุ่ม NH Hotel มีสัดส่วนหลักเป็นลูกค้าในประเทศและในทวีปยุโรป ส่งผลให้การกลับมาเปิดโรงแรมสามารถมียอด Booking เฉลี่ยที่ 40% และการช่วงไตรมาส 3 เป็นช่วง High Season ของกลุ่ม NH Hotel เราจึงคาดว่าผลประกอบการโดยรวมใน 3Q63 จะดีกว่า 2Q63 สำหรับกลุ่มร้านอาหาร เราคาดว่าจะมี SSSG ที่ดีขึ้นจากการกลับมาให้บริการสาขาในห้าง ประกอบกับ Social distancing ที่เข้มงวดน้อยลง ทำให้ Capacity ในการรับลูกค้ากลับมาได้เกือบ 100% โดยที่ในเดือนเม.ย.-พ.ค. 2563 มี SSSG ของทั้งระบบติบลบที่ 25.3 % และ 28.1% YoY ตามลำดับ และออสเตรเลียเป็นฮับที่มีการติดลบมากที่สุดที่ 70% YoY ในเดือนเม.ย. 2563 ในขณะที่ TSS ของทั้งระบบในเดือนเม.ย.-พ.ค. 2563 ติดลบ 47%และ 37.8% YoY ตามลำดับ
ปรับขาดทุนปี 2563 เพิ่ม
เราปรับขาดทุนสุทธิปี 2563 เพิ่มจาก 6.2 พันล้านบาท เป็น 8.22 พันล้านบาท และปรับกำไรสุทธิปี 2564 ลงจาก 2.85 พันล้านบาท เป็น 1.84 พันล้านบาท เนื่องจากเราคาดกว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติคาดว่าจะอยู่ที่ 15-17 ล้านรายในปี 2564 ซึ่งยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าปี 2562 ที่ 39 ล้านราย ส่งผลให้คาดว่าแต่ละโรงแรมยังต้องใช้ Pricing ในการดึงลูกค้า ในขณะที่กลุ่มร้านอาหารคาดว่า SSSG ในปี 2564 จะดีขึ้น แต่ก็ยังคงประสบปัญหาการแข่งขันที่สูงต่อเนื่อง แต่การเพิ่มทุนและขายPerpetual Bond เมื่อช่วงปลายเดือนมิ.ย. 2563 ส่งผลให้ MINT มีเงินสดในมือเพิ่มขึ้นราว 2.0 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ระดับ D/E ปรับตัวลดลงจาก 1.6X เป็น 1.3X
ยังคงแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 17.50 บาท
เรายังคงแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ 17.50 บาท จากการอิงผลประกอบการปี 2564 ธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยวจะยังไม่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับปี 2562 ได้ ทำให้ต้องพึ่งพิงการท่องเที่ยวในประเทศเท่านั้นและมาตรการเที่ยวปันสุขจะสามารถช่วยพยุงผลประกอบการได้เพียงระยะสั้น และต้องรอการพัฒนา Vaccine ให้สำเร็จก่อนนัก่องเที่ยวถึงจะมีความมั่นใจในการเดินทาง
ความเสี่ยง:
- จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
- ค่าเงินบาทแข็งค่า
- ภาคการบริโภคไม่ฟื้นตัว
- ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
- การลงทุนที่ไม่ได้อยู่ในแผน
- ผลกระทบของ COVID-19 ที่ยาวนาน
บทวิเคราะห์จาก หลักทรัพย์ Trinity